
เมื่อช้างป่าคุกคามชุมชน บทสรุปจะจบที่ตรงไหน
คำตอบอยู่ในสายลม?
1.
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำใกล้ลับขอบฟ้า รัตติกาลกำลังจะมาเยือน เป็นเวลาตื่นของเจ้าพลายเบี่ยงเล็ก หรือ พลายงวงทอง ช้างป่าหนุ่มแห่งผืนป่าเขาใหญ่ที่กำลังถูกจับจ้องในเวลานี้
นับตั้งแต่ถูกแม่แปลก ผู้เป็นใหญ่ขับออกจากโขลง มันจำเป็นต้องหาที่ทางให้ตัวเอง กระทั่งได้พบกับภูมิทัศน์แปลกใหม่ไม่เหมือนในป่า มีผลผลิตมากมายหลากชนิดรสชาติล้วนโอชะ แถมยังปราศจากภยันตรายให้หวั่นเกรง ก็คงจะทึกทักเอาว่า…นี่แหละอาณาจักรแห่งใหม่ของมัน
ทุกเย็นย่ำหลังตื่นนอน กิจวัตรประจำของพลายเบี่ยงเล็กคือการออกเดินจากราวป่าที่เป็นแนวเขตอุทยาน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับเจ้าหน้าที่ และจิตอาสากว่าสิบชีวิต ที่ต้องเตรียมตัวเฝ้าระวังหากมันเดินออกนอกพื้นที่ และพร้อมผลักดันตลอดเวลาหากมันบุกเข้าบ้านคน
พลายเบี่ยงเล็กเป็นหนึ่งในช้างป่าหนุ่มที่หาญกล้าออกนอกพื้นที่ป่าเข้ามายังเขตชุมชนคนอยู่อาศัย ที่นี่มันพบแหล่งอาหารรสเลิศที่ไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นขนุน ข้าวโพด หรือมะม่วง มันคงนึกในใจว่าถ้าจะอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ มีเหตุผลอะไรที่มันจะกลับเข้าป่าอีกเล่า ในที่สุดจาก “ช้างป่า” พลายเบี่ยงเล็กก็เปลี่ยนสถานะเป็น “ช้างป่าชุมชน” ในที่สุด
ล่าสุดโด่งดังไปทั่วโลกจากวีรกรรมอันอุกอาจพาตัวขนาดเท่ารถหกล้อย่ำเท้าเข้าไปยืนคาอยู่ในร้านชำ กวัดแกว่งงวงที่มีรอยแหว่งของมันควานหาของกินรสเด็ด นี่มิใช่การใส่ความแต่อย่างใด เพราะเหตุการณ์นี้มีภาพถ่ายบันทึกเป็นหลักฐานมัดตัวแน่นจนไม่อาจปฏิเสธได้
แน่นอนว่าพฤติกรรมเช่นนี้สร้างความหวาดผวาให้เจ้าของบ้านไม่น้อย
อันที่จริงเรื่องช้างออกนอกพื้นที่ป่าเขาใหญ่มีมานานกว่า 20 ปีแล้ว เริ่มต้นจากหนึ่งตัว เพิ่มเป็นสอง สี่ หก แปด จนตอนนี้นับได้เกือบ 30 ตัวแล้ว ปัญหานี้มีการนำไปพูดคุยในหลายเวที แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีทางออกที่ชัดเจนในการแก้ไข
เรื่องนี้อาจกลายเป็นระเบิดเวลาที่น่ากลัวหากยังไม่มีความชัดเจน เพราะเขาใหญ่ คือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองไทย หากไม่ประคับประคองและหาทางแก้ไขให้ดีอาจเกิดผลกระทบที่รุนแรงต่อการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์หลักด้านเศรษฐกิจของเมืองแห่งอ้อมกอดขุนเขานี้
2.
4 ตำบล ช้างป่าบุก!
พระอธิการกัมปนาท สุเขธิโต เจ้าอาวาสวัดหมูสี ในฐานะประธานกลุ่มอนุรักษ์สัตว์ป่า และสิ่งแวดล้อมเขาใหญ่ หนึ่งในผู้ตามติดประเด็นช้างป่าออกนอกพื้นที่อนุรักษ์อย่างใกล้ชิดและยาวนาน ให้สัมภาษณ์ทีม “Khaoyai Connect” ถึงเรื่องราวระหว่างคนกับช้างป่าเขาใหญ่ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันนี้
พระอธิการกัมปนาทบอกว่า กลุ่มอนุรักษ์สัตว์ป่า และสิ่งแวดล้อมเขาใหญ่ เป็นกลุ่มที่ทำงานซัพพอร์ตเจ้าหน้าที่รัฐ มีพันธกิจหลัก คือ ช่วยเหลือสัตว์ป่า และดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และพื้นที่ต่อเนื่อง รวมถึงปัญหาช้างออกนอกพื้นที่ป่าด้วย
ปัญหาช้างออกนอกพื้นที่ เกิดขึ้นราวปี 2542 สมัยนั้นช้างยังไม่มีความคุ้นชินกับชุมชนสักเท่าไร มีเพียงช้างใจกล้า 1-2 ตัว ที่ย่ำเดินตามแนวเขตอุทยานเรื่อยลงมาจนกระทั่งพบกับแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ตามไร่ของเกษตรกร หรือพื้นที่ทุ่งปศุสัตว์ และเนื่องจากช้างเป็นสัตว์สังคม เมื่อตัวแรกพบ มีหรือว่าตัวอื่นจะไม่รู้ อาหารรสชาติดี และยังไม่มีภัยคุกคามจากมนุษย์ ทำให้ช้างใจกล้ากว่าเดิม จากหากินวงกว้างแค่ 1 กิโลเมตร ก็ขยายไปถึง 10 กิโลเมตร
“เมื่อก่อนเขาออกหากินบริเวณ 4-5 กิโลเมตร กลางคืนพอเขากินเสร็จ ตอนเช้าก็กลับไปในป่าอนุรักษ์ แต่ปัจจุบันเขาชินพื้นที่ รู้ว่าปลอดภัย มีปัจจัยพร้อมที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้ มีทั้งอาหาร ทั้งที่หลับที่นอน มีทุกอย่างพร้อม เขาเลยไม่กลับพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ก็เลยฝังตัวอยู่ในพื้นที่ของป่ากลุ่มต่างๆ ซึ่งอยู่ในเขตชุมชน หรือพื้นที่รกร้างของอัครมหาเศรษฐี เขาก็เข้าไปฝังตัวนอนในนั้น มีแหล่งน้ำแหล่งอาหารอยู่ได้อย่างสบาย กลางคืนก็หากินใกล้ๆ เช้าก็กลับไปนอน”
พระอธิการกัมปนาทบอกว่า ปัจจุบันในอำเภอปากช่อง มีพื้นที่ 4 ตำบลที่ได้รับความเดือดร้อนจากช้างป่าออกหากินนอกพื้นที่อนุรักษ์ ได้แก่ ต.โป่งตาลอง ต.หมูสี ต.พญาเย็น และ ต.หนองน้ำแดง ที่ผ่านมาตนได้พูดคุยสร้างความเข้าใจกับผู้นำชุมชนทั้ง 4 ตำบล พร้อมกับพากำนันทั้ง 4 ตำบลเข้าไปพบชุดกรรมาธิการของผู้แทนราษฎรมาแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าทั้งเรื่องการแก้ปัญหา และการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐ จึงตัดสินใจตั้งกลุ่มจิตอาสาขึ้นมา เป็นกลุ่มอาสาสมัครที่เป็นชุดเฝ้าระวังและผลักดันช้างป่าขึ้นมา เพื่อเข้ามาร่วมทำงานกับเจ้าหน้าที่ ตอนนี้ที่หมูสีมีประมาณ 20 คน นอกจากนี้ยังมีชุดของ ต.หนองน้ำแดงที่เป็นกลุ่มเพื่อนช้าง ซึ่งอยู่ในการดูแลของพระอาจารย์เช่นกัน
3.
ผลักดัน และเยียวยา คือ การรับมือปัญหาเฉพาะหน้า
พระอธิการกัมปนาทอธิบายต่อว่า หน้าที่หลักๆ ของกลุ่มจิตอาสา คือ การสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อุทยาน ในการเฝ้าระวัง รับแจ้งเหตุเวลาช้างออกหากิน ประสานงานเจ้าหน้าที่อุทยาน ช่วยสนับสนุนกำลังคน และ รถยนต์ในการเข้าพื้นที่ ผลักดันช้างในกรณีที่ผลักดันได้ เฝ้าระวังไม่ให้ช้างไปสร้างความเสียหาย
“เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ เราต้องรู้ให้ได้ว่าเป็นช้างตัวไหน เมื่อรู้แล้วเราจะประเมินพฤติกรรมเขาได้ ถ้าเขาอยู่หากินรอบๆ ไม่ได้สร้างความเสียหายก็ปล่อยเขา แต่ถ้าจะเข้าไปในบ้าน ไปสร้างความเสียหายก็ต้องพยายามจะผลักดันออกไป ก็จะใช้ทุกวิธี เปลี่ยนสลับตลอดเวลา ทั้งใช้เสียง ใช้การตีขวด จนถึงใช้รถยนต์ไปดันเขาออก หรือเวลาเขาหากินเสร็จแล้ว จะข้ามถนน ก็ต้องไปอำนวยความสะดวกให้ แต่มันไม่จบไม่สิ้น เพราะเวลาเข้าบ้านหนึ่งเสร็จ เราผลักดันออกไปแล้ว สักพักเขาก็จะไปเข้าบ้านอื่นอีก สิ่งที่ตามมาคือเจ้าหน้าที่อาสาโดนด่าว่าอยู่ตรงนั้นก็ดีแล้วไล่มาบ้านฉันทำไม นี่คือปัญหาที่เราเจอทุกเมื่อเชื่อวัน เจอปัญหาที่กระทบกทระทั่งทางจิตใจตลอดเวลา แล้วเวลาทำงานจะมีผู้รู้เยอะ นี่คือแรงกดดันที่จิตอาสาเจอกันประจำ”
อีกเรื่องหนึ่ง คือ หากมีความเสียหายเกิดขึ้น กลุ่มจะเข้าไปช่วยเยียวยาเท่าที่ทำได้ ทั้งที่จริงส่วนนี้ควรเป็นหน่วยงานของมหาดไทย แต่เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนเรื่องกฎระเบียบ เราจึงต้องเข้าไปช่วยบรรเทาความเดือดร้อนก่อนเท่าที่ไหว
“การช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยก็เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างคนกับสัตว์ให้ลงมาในระดับหนึ่ง อย่างน้อยๆ เราเข้าไปพูดคุยให้กำลังใจ มีสิ่งของเล็กน้อยก็เอาไปฝาก เช่น ถ้ารู้ว่าช้างเข้าไปทำหม้อหุงข้าวพัง เราก็อาจจะซื้อหม้อหุงข้าว ข้าวสาร กะปิ น้ำปลา เท่าที่มีไปให้เขา บางครั้งช้างไปทำลายรถเขาเสียหาย ถ้าไม่มากเกินไป เราก็ช่วยเอาไปซ่อมให้ในงบประมาณที่พอจะรับไหว ถามว่างบประมาณมาจากไหน ส่วนหนึ่งก็มาจากการขอผู้ใหญ่ใจดี ส่วนหนึ่งที่เป็นสิ่งของ ก็เอามาจากส่วนตัวของพระอาจารย์ ที่มีคนเอามาถวายสังฆทาน พวกข้าวสารอาหารแห้งที่พอจะมีอยู่ก็เอาไปเยียวยา ส่วนในเคสใหญ่ที่ไปทำลายพืชไร่ เราก็ใช้การเป็นพระไปพูดคุยให้เขาอ่อนลงมา ให้เขาเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ส่วนการเยียวยา เราจะแนะนำและทำเอกสารให้เขา เพื่อส่งต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อไป”
พระอธิการกัมปนาท บอกว่า มีโอกาสไปร่วมประชุมที่สภาผู้แทนราษฎร ในชุดกรรมาธิการช้างป่า ชุดที่ 26 ครั้งล่าสุดได้เสนอให้คณะกรรมาธิการช่วยส่งเจ้าหน้าที่มาให้ความรู้ในเรื่องกฎระเบียบต่างๆ เช่น เรื่องการตั้งงบประมาณให้สามารถนำไปใช้ได้จริง มีขอบเขตการเยียวยาที่ชัดเจน
ต่อคำถามว่าความเสียหายทั้ง 4 ตำบล เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน
พระอธิการกัมปนาทอธิบายว่า ในรอบ 1 ปี จะมีช่วง 6-7 เดือนที่เป็นฤดูกาลผลผลิตการเกษตร ช้างป่าก็จะเข้าไปตรงนั้น ส่วนในอีก 5 เดือนที่เหลือช้างป่าจะวนเวียนอยู่ตามหมู่บ้าน เจออะไรก็กินอันนั้น โดยเฉลี่ยแล้วจะต้องไปเยียวยาความเสียหายเดือนละ 1-2 เคส
“อย่างวันก่อนเข้าร้านขายของชำของโยมพลอย ท่ามะปราง อันนั้นไม่ได้เสียหายมาก เสียหายแค่ขนม ทางเลขาฯ กลุ่มก็ได้ไปมอบเงิน 800 บาท เป็นค่าขนมที่เสียหาย แต่ก็มีเคสที่ย้อนหลังไป 3 เดือน เข้าไปกินมะม่วงแล้วไปเบียดรถยนต์ อันนั้นเราก็เยียวยา โดยการเอารถยนต์ไปซ่อมประมาณ 4 พันบาท ทั้งนี้ต้องดูพฤติกรรมของช้างด้วย มันจะมี 2 ตัวที่มีพฤติกรรมในการรื้อสิ่งของ คือ พลายเบี่ยงเล็กหมูสี หรือ งวงทอง จะมีพฤติกรรมรื้อค้นอาหารตามเคหะสถานต่างๆ อีกตัวหนึ่ง คือ พลายด้วน หรือ พลายด้วน สปก. ก็จะมีแค่ 2 ตัวที่มีพฤติกรรมรื้อค้น นอกนั้นก็จะเดินกินอาหารทั่วไป เจอมะม่วงก็กินมะม่วง เจอกล้วยก็กินกล้วย แล้วกล้วยบ้านมันอร่อยกว่ากล้วยป่า ก็หาไปเรื่อย จนถึงเทศกาลงานกฐินที หาต้นกล้วยมาประดับวัดยังยากเลย”
4.
การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ยังไม่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
“มันเป็นไปไม่ได้ที่สัตว์ป่าขนาดใหญ่จะมาอาศัยอยู่ในชุมชน มันต้องมีใครสักคนที่ต้องเบียดเบียนกัน วันนี้ช้างเบียดเบียนมนุษย์ วันหน้ามนุษย์อาจจะเบียดเบียนช้างก็ได้ ไม่มีใครรู้ แล้วนอกจากช้างป่า อนาคตที่ตามมาคือกระทิงก็เป็นปัญหาอีกอย่างของพื้นที่รอบแนวเขตอุทยาน”
เมื่อถามหาทางออก พระอธิการกัมปนาทส่ายหน้าบอกว่า ยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ทั้งหน่วยงานรัฐ หรือภาคเอกชนที่ทุกวันนี้ก็พยายามหาบทสรุปด้วยกันอยู่
พระอธิการกัมปนาทบอกว่า โดยรวมปัญหาช้างเขาใหญ่ยังไม่ถูกให้ความสำคัญมากนัก เพราะภาครัฐมองว่ายังไม่เกิดความรุนแรง ยังมีที่อื่นที่รุนแรงกว่า อย่างที่อ่างฤาไน จ.จันทบุรี ตรงนั้นมีการทำร้ายคนและสร้างความเสียหายมากกว่า งบประมาณจึงทุ่มไปทางนั้นเยอะกว่า แต่ภาครัฐลืมว่าพื้นที่เขาใหญ่เป็นพื้นที่ชุมชนเศรษฐกิจท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของโคราช เหมือนกับที่ชลบุรีมีพัทยา เรามีนักท่องเที่ยวมาจากทั่วโลก ถามว่าหากมีนักท่องเที่ยวถูกช้างทำร้ายในเขตชุมชนสักคนหนึ่ง อะไรจะเกิดขึ้นกับเขาใหญ่ ซึ่งเราคงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
ล่าสุดทราบว่าชุดกรรมาธิการเรื่องช้างป่า โดยคุณรัชนี โชคเจริญ ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ได้เสนอแผนไปที่กรมฯ เรื่องการทำรั้วรอบขอบชิด ซึ่งแม้จะมีราคาแพง เราก็ควรต้องทำ อาจจะทำปีละ 5-10 กิโลเมตร เพื่อหยุดยั้งปัญหา ไม่ให้คนกับสัตว์ป่าต้องมาเบียดเบียนกัน
“ที่ทำทั้งหมดนี้เพราะทุกคนรักพื้นที่เขาใหญ่ ไม่อยากให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดกระทบกระเทือนทั้งชุมชน ถ้าช้างถูกรถชนตาย ถูกไฟช็อตตาย ช้างถูกคนทำร้ายตาย ตรงนี้จะกระทบทั้งภาครัฐที่ถือใช้กฎหมาย กระทบภาพพจน์ชุมชน ถ้าคนตายก็กระทบความชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว”
5.
รู้พฤติกรรมช้าง ลดความเสียหาย
“ผมเป็นเกษตรกรทำไร่ข้าวโพดที่เขาแผงม้ามาก่อน ทำอยู่ 3 ปีหมดตัว ต้องยอมแพ้ เพราะโดนกระทิง 200-300 ตัวบุก” กังวาฬ ศรีสวาท หัวหน้าชุดเคลื่อนที่เร็ว อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อายุ 47 ปี พูดขึ้นมาขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่เจ้าพลายเบี่ยงเล็กที่กำลังใช้งวงรัดลำต้นมะม่วงเขย่าเพื่อให้ลูกหล่นลงมาในพลบค่ำวันหนึ่ง
หัวหน้าชุดเคลื่อนที่เร็วบอกกับทีม Khaoyai Connect ถึงจุดเริ่มต้นในการเข้ามาร่วมทำหน้าที่ดูแลสัตว์ป่าว่า ด้วยความที่ไม่อยากให้ชาวบ้านคนอื่นๆ ได้รับความเสียหายเหมือนที่ตนเองเคยโดน จึงได้เข้าร่วมกับ ดร.พิเชฐ นุ่นโต ผู้เชี่ยวชาญช้างป่าเอเชีย ทำวิจัยพฤติกรรมช้างป่าออกนอกพื้นที่ ต่อมาขยับเป็นจิตอาสาช่วยชาวบ้านในการผลักดันช้างป่า กระทิง กระทั่งได้รับโอกาสมาทำงานที่เขาใหญ่ เป็นพนักงานจ้างเหมา หรือที่เรียกกันว่าพนักงาน TOR
“ปัญหาช้างป่าที่หมูสีจะแปลกกว่าที่อื่น ที่จังหวัดอื่นเวลาช้างป่าออกนอกพื้นที่ วิธีการคือจะเฝ้าระวัง ขอกำลัง แจ้งเตือน ผลักดันกลับ แต่ที่หมูสีทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะเป็นแหล่งชุมชน แหล่งท่องเที่ยว ทำได้แค่ประคองเท่าที่เราจะประคองได้ เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจพฤติกรรมช้าง ถ้าไม่รู้จักช้างก็อาจจะเกิดอันตรายได้”
เมื่อถามถึงระดับการผลักดันมีขั้นตอนอย่างไร กังวาฬบอกว่า เริ่มจากการใช้เสียง ไปจนถึงใช้รถยนต์ประคองช้างให้ไปในทิศทางที่เราต้องการ เมื่อข้ามถนนก็จะใช้รถยนต์บล็อก ขั้นตอนนี้จะมีกลุ่มจิตอาสามาร่วมด้วย ซึ่งกลุ่มนี้จะชำนาญมาก เพราะเป็นคนในพื้นที่และได้รับการอบรมจากอุทยานปีละ 2 ครั้ง จะมีความเข้าใจพฤติกรรมช้างป่า และ รู้วิธีการผลักดันโดยไม่ใช้ความรุนแรง
“ความเสียหายจากช้างป่าเขาใหญ่ เท่าที่พบตอนนี้ส่วนมากเป็นผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าวโพด อ้อย ส่วนความเสียหายอื่น เรื่องบ้านพังยังไม่เท่าไร อาจจะมีรั้วรีสอร์ทที่ก่อกำแพงเป็นอิฐเสียหายนิดหน่อย บางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะพูดคุยกับชาวบ้าน แต่ก็พยายามอธิบายเรื่องพฤติกรรมช้าง บางคนก็เข้าใจ บางคนก็ไม่ชอบ แต่ก็ต้องประคองกันไป เพราะเป็นวิธีเดียวจนกว่าจะมีทางออกร่วมกัน” กังวาฬกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยังมีความหวัง
6.
ช่วยกันประคับประคอง จนกว่าจะมีทางออกที่ยั่งยืน
“ถ้าเรายังแก้ปัญหาตรงนี้ไม่ได้ เราต้องพยายามประคับประคองให้มันไม่เกิดปัญหาใหญ่ คืออย่าเพิ่งใช้ความรุนแรงกับเขา เพราะถ้าเริ่มความรุนแรงเมื่อไรมันก็จะค่อยๆ ทวีคูณขึ้น แต่อย่างไรเราก็ต้องเข้าใจกลุ่มเกษตรกร เพราะทุกอย่างที่เสียหายก็คือหนี้ ธ.ก.ส. ดังนั้นถ้ามีความเสียหายที่กลุ่มจิตอาสาพอจะช่วยเหลือได้ เราก็จะช่วยเหลือ และทางกลุ่มเราก็จะช่วยประสานชาวบ้านกับหน่วยงานราชการที่มีหน้าที่ช่วยเหลือเยียวยา ทำทั้งหมดนี้มีจุดประสงค์ คือ ลดความขัดแย้งระหว่างคนและสัตว์ป่า” เสียงจากคุณนก-นภาศิริ อิ่มแสง ผู้ประสานงานกลุ่มอนุรักษ์สัตว์ป่า และสิ่งแวดล้อมเขาใหญ่บอกอย่างห่วงใย
“ช้างที่เขาใหญ่จะเป็นการรวมตัวของแก๊งที่โดนขับออกจากโขลง เขาจะมีความสามัคคีกันมาก ไม่ค่อยทะเลาะกัน เน้นหาของกินอย่างเดียว มีที่ไหนอร่อยก็จะบอกต่อ เห็นได้จากช้างใหม่มาเช็คอินที่จุดเดิมที่ลูกพี่เขาเคยมากิน หรือบางตัวเคยโดนรถเฉี่ยว เขาก็จะสื่อสารกัน เวลาข้ามถนนเขาก็จะระวัง ในเมื่อยังไม่มีวิธีที่จะย้ายช้างไปไหน ยังไม่รู้จะแก้วิธีไหน เราต้องรู้จักพฤติกรรมช้างเพื่อประคับประคองสถานการณ์ เพราะเราทำได้ดีที่สุดคือแบบนี้”
ในวันที่ปัญหาช้างป่าเขาใหญ่ออกนอกพื้นที่ยังไม่มีบทสรุปแน่ชัด แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนอย่างยิ่ง คือ ทุกฝ่ายต่างให้ความร่วมมือร่วมใจช่วยกันประคับประคองเพื่อรอวันที่แสงสว่างส่องที่ปลายอุโมงค์ ทั้งหมดนี้หวังเพียงให้เขาใหญ่แห่งนี้ยังคงเป็นหุบเขาแห่งความสุขของทุกชีวิตสืบต่อไป
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต