
เสียงตะโกนก้องของศิลปะอีสานในงาน Kupper Art Fes 2025
คุยกับ “มนพร รอบรู้” ภัณฑารักษ์ ผู้เสกงานศิลป์ในถิ่นฐานบ้านเกิด
กลุ่มทำงานทางศิลปะที่ขยับขับเคลื่อนอย่างแข็งขันที่สุดกลุ่มหนึ่งของไทย มีผลงานอย่างต่อเนื่องมายาวนานเกือบทศวรรษ และยังไม่มี่ทีท่าว่าจะแผ่ว คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Kultx(ฆัลx) ของจังหวัดขอนแก่นที่นำโดย “มนพร รอบรู้” หรือ “ตั้ม” อาร์ติสต์หนุ่มมาดเข้มที่ภายหลังมีบทบาทในฐานะคิวเรเตอร์งานระดับเฟสติวัลมากกว่าการเป็นศิลปิน
ตั้มเป็นชาวขอนแก่นขนานแท้ งานศิลปะของเขาที่ผ่านมาก็ล้วนเป็นการแกะรอยหาข้อมูลที่สูญหาย รากเหง้าของเมือง ผู้คน และสังคมที่เขาเติบโตขึ้นมา ซึ่งในขณะที่คำตอบบางอย่างค่อยๆ ผุดเผยขึ้นมาผ่านการทำข้อมูล และตั้งคำถามผ่านชิ้นงานศิลปะที่เขากระจายให้ศิลปินทั้งในท้องถิ่นและที่เปิดรับเข้ามาช่วยกันนั้น กลับไม่ได้เติมเต็มเพียงแค่ในพื้นที่ทำงานของเขาเพียงเท่านั้น เพราะอย่างเราท่านทราบกันดีว่าทุกอย่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ขอนแก่นเองก็เป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาค ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศ และในห้วงยามแห่งโลกาภิวัตน์นี้ ขอนแก่นเองก็ย่อมเป็นองคาพยพหนึ่งของโลกใบนี้ด้วย
ดังนั้นการได้เห็นความจริงบางอย่างชัดเจนขึ้นจากการที่ถูกกลบเกลื่อนเลือนหาย หรือแม้กระทั่งการหลงลืมค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นจากเงื้อมเงาที่ทอดบัง เราย่อมได้เห็นโลกใบนี้เต็มตาขึ้นไปด้วย
พลังทางศิลปะอาจเป็นส่วนเสี้ยวหนึ่งเล็กๆ ในการตระหนักรู้ แต่ก็เป็นส่วนเสี้ยวที่เต็มไปด้วยสุนทรียะ เพราะศิลปะที่ดีย่อมไม่เป็นการยัดเยียดหรือชี้นำจนเกินงาม หากความงามนั้นจะนำพาเราไปสู่ความใคร่รู้ ใคร่ครวญ และค่อยเป็นค่อยไป
การทำงานของ Kultx(ฆัลx) กลุ่มทำงานเล็กๆ ที่ไม่สังกัดศูนย์กลางได้ค่อยๆ สร้างอัตลักษณ์ของตัวเองขึ้นมา สร้างภาษาในการสื่อสารทางศิลปะแบบใหม่ๆ ที่น่าสนใจ และค่อยๆ เพิ่มเสริมกิจกรรมที่ทำให้ภูมิทัศน์ทางศิลปะของอีสานแจ่มชัดขึ้น
แนะนำตัวกับผู้อ่าน Khaoyai Connect สักหน่อยครับ
สวัสดีครับ มนพร รอบรู้ ปัจจุบันทำงานด้านศิลปะร่วมสมัยในหลายบทบาท ทั้งในฐานะศิลปิน ภัณฑารักษ์ และผู้ริเริ่มจัดกิจกรรมศิลปะร่วมสมัยในภูมิภาคอีสาน โดยผลงานที่ผ่านมาจะเน้นการสร้างบทสนทนาระหว่างศิลปะกับพื้นที่และผู้คนไม่ว่าจะเป็นโครงการศิลปะกับ Kultx(ฆัลx) หรือเทศกาลศิลปะร่วมสมัย S.O.E Art festival ที่มุ่งสร้างพื้นที่ทางศิลปะร่วมสมัยซึ่งเชื่อมโยงประเด็นร่วมสมัยกับรากทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และบริบทสังคมของภูมิภาค สร้างบทสนทนาของผู้คนเชื่อมโยงกับโลก
แนะนำที่มาที่ไปของ Kupper Art Fes
Kupper Art Fes เกิดขึ้นจากความเชื่อมั่นในศักยภาพอันเข้มข้นของผู้คนในภาคอีสาน โดยเฉพาะศิลปินและผู้สร้างสรรค์ท้องถิ่นที่มีแนวคิดเฉียบคม เรื่องราวลึกซึ้ง และรากวัฒนธรรมอันงดงามไม่แพ้ที่ใดในโลก เพียงแต่ว่าโอกาสกลับยังคงกระจุกตัวอยู่ในศูนย์กลางอย่างกรุงเทพฯ ทำให้ศิลปินจำนวนมากต้องดิ้นรนออกจากบ้านเกิดเพื่อแสวงหาพื้นที่ให้เสียงของตนดังก้องขึ้น
แต่จะเกิดอะไรขึ้น…หากเราย้าย “เวที” กลับมาที่นี่? ถ้าเราเสนอ “ระบบการต่อรองใหม่” ที่ยึดโยงกับพื้นที่ของตนเอง สร้างความฝันจากผืนดินอีสาน ปลุกพลังศิลปินท้องถิ่นให้ลุกขึ้นมาแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่
Kupper Art Fes คือการเปิดพื้นที่ให้ศิลปินท้องถิ่นได้พบปะกับนักสะสมและผู้สนใจศิลปะ พร้อมทั้งเชิญชวนผู้คนและศิลปินจากภาคอื่นและต่างประเทศมาร่วมแลกเปลี่ยน เชื่อมต่อ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่ข้ามพรมแดนของภูมิภาคและประเทศ
นี่จึงไม่ใช่แค่เทศกาลศิลปะหรือ Art Fair ครั้งแรกของภาคอีสานที่มุ่งกระตุ้นระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ผ่านการพบกันของศิลปินและผู้ชมจากหลากหลายภูมิหลังเพียงเท่านั้น หากแต่คือการเปิดโอกาสให้ผู้คนได้เห็นศิลปินที่ไม่เคยถูกมองเห็น เปิดประสบการณ์ใหม่ มองเห็นศักยภาพใหม่ และในขณะเดียวกัน ก็ทำให้คนในพื้นที่ได้มองเห็นโอกาสของตัวเองอย่างชัดเจนขึ้น
ถือเป็นงานซีรีส์เดียวกับที่ ฆัลX จัดมาก่อนหน้านี้ไหม มีความเชื่อมโยงกันไหม
จะบอกว่า KPAF เป็นงานในซีรีส์เดียวกับที่ ฆัลX เคยจัดก็ไม่ตรงนัก แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ทั้งสองงานเกิดจากพลังงานชุดเดียวกัน จากหัวใจเดียวกันของกลุ่มคนกลุ่มเดิม
พวกเราอยากเห็นซีนศิลปะในอีสานขยับเขยื้อนไปข้างหน้า อยากเห็นศิลปินท้องถิ่นมีที่ยืนที่เท่ สง่างาม ไม่ต้องหลบ ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยน ไม่ต้องรู้สึกผิดหรืออับอายที่จะบอกใครว่า “เราเป็นศิลปินจากอีสาน” และเราไม่อยากเห็นแค่การบ่นว่าทำศิลปะที่นี่ไม่มีทางไปต่อ ไม่มีกำไร เราอยากเห็นการลงมือสร้างทางใหม่จริงๆ มากกว่าแค่การพูดบ่นไปวันๆ
KPAF แตกต่างจากงานของ ฆัลX ตรงที่เราไม่เลือกชนตรงๆ งานของ ฆัลX มักตั้งคำถามแรง ชนกับกรอบศิลปะแบบเดิม และปะทะกับอำนาจเชิงวัฒนธรรมอย่างเปิดหน้า แต่ KPAF เลือกอีกทางคือเราแค่ “ลื่น” ไปกับโครงสร้าง เน้นความร่วมมือไม่ใช่เพราะยอมรับมัน แต่เพราะเราต้องการสร้างระบบใหม่จากภายใน เรามองหาช่องและโอกาส เชื่อมผู้คนเข้าด้วยกันในระดับโครงสร้าง เพื่อเปลี่ยนเกม ไม่ใช่แค่เล่นอยู่ในเกมเดิม และท้ายที่สุดจะแคร์ทำไมว่าแมวจะสีอะไร ถ้ามันจับหนูได้
ทำไมต้องเป็น Kupper Art Fes 2025 Sky Limitless “อีสานบ่มีฝา ขอบฟ้าบ่มีกั้ง ขี่ซ่างกางฮ่ม ล่องลมใหม่”
ในปีที่แล้ว kpaf2024 เรามาในธีม “เปิดผ้าม่านกั้งฟ้าแจ้งจ่างป่าง” คือเหมือนกับว่าในครั้งที่แล้วเราได้เปิดผ้าม่านเพื่อแสดงให้กับทุกคนเห็นแล้วว่า อีสานไม่ได้กันดาร ไม่ได้แห้งแล้งเหมือนภาพจำที่คนพยายามสร้างให้กับมัน เราลบภาพจำของอีสานแบบนั้นออกไป และสร้างมันขึ้นมาใหม่ แล้วพอมาในปีนี้เมื่อเรามาประชุมทีมกัน เราก็นึกถึงความเป็นไปได้ของอีสาน ความอะไรที่ภูมิภาคนี้เป็น คนอีสานคือใคร? เป็นคนลาวใช่ไหม? วัฒนธรรม สังคม อดีตและปัจจุบันคืออะไร สรุปออกมาได้ว่า อีสานเราล้ำหน้าไปไกลมากแล้ว เราแตกต่าง ปรับตัวและอยู่รอด เราเป็นอะไรก็ได้ที่อยากจะเป็น ถ้าเราตั้งใจ เราไม่มีขีดจำกัด เลยเกิดเป็นแนวคิด “ความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัด” ซึ่งเป็นที่มาของธีมในปีนี้ “อีสานบ่มีฝา ขอบฟ้าบ่มีกั้ง ขี่ซ่างกางฮ่ม ล่องลมใหม่”
ขยายความหมายของประโยค “อีสานบ่มีฝา ขอบฟ้าบ่มีกั้ง ขี่ซ่างกางฮ่ม ล่องลมใหม่” อีกสักนิด
คือจิตวิญญาณของงานปีนี้ “อีสานบ่มีฝา” หมายถึง พื้นที่นี้ไม่มีเพดาน ไม่มีข้อจำกัดที่ตายตัว “ขอบฟ้าบ่มีกั้ง” หรือ ขอบฟ้าไม่มีกั้นหรือกรอบที่ปิดกั้น เราอยากเปิดฟ้าให้กับคนอีสาน ท้องฟ้าที่ไม่มีขอบฟ้า ความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัดในโลกไร้พรมแดน ทุกคนมีอิสระสามารถเติบโตยิ่งใหญ่ได้ จะขี่ซ่างกางฮ่มก็ย่อมได้ พาตัวเองล่องไปกับสายลมใหม่ๆ หาโอกาสใหม่ๆ ความเป็นไปได้ใหม่ๆ เป็นการ Reclaim อีสานในฐานะพื้นที่แห่งจินตนาการ แทนที่จะถูกมองว่าเป็นเพียงภูมิภาคของแรงงานราคาถูก ความแห้งแล้ง กันดาร หรือแค่โลเคชันให้ทุนวิจัยมาลง
สิ่งที่ Kupper โดดเด่นกว่า Art fair อื่นๆ
เราไม่ได้มองว่า Kupper โดดเด่นกว่าที่อื่น แต่เราเชื่อว่าจุดแข็งของเราคือการเป็นพื้นที่ที่ออกแบบมาเพื่อศิลปินและนักสะสมในอีสาน แน่นอนว่าเรายังเปิดรับศิลปินจากภูมิภาคอื่นและต่างประเทศ และมีความร่วมมือที่ต่อเนื่อง แต่หัวใจของงานคือการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับศิลปินในอีสาน ทั้งในแง่ของการลงทุน การจับคู่กับนักสะสม และการเชื่อมโยงกับโลกศิลปะในระดับกว้าง เราต้องการให้ภูมิภาคนี้มีโอกาสของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งศูนย์กลางเดิมอย่างกรุงเทพฯ เท่านั้น Kupper มุ่งหวังให้เกิดพื้นที่ที่เปิดกว้างให้ทั้งนักสะสมรุ่นใหม่และรุ่นเก่าได้มารู้จักและสร้างความสัมพันธ์กับศิลปินท้องถิ่นอย่างลึกซึ้งและยั่งยืน
ทำไมต้องจัดที่โรงแรม
เพราะเราอยากให้ศิลปะเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่ไม่จำเป็นต้อง “ดูเป็นศิลปะ” เสมอไป โรงแรมไม่ใช่แค่ที่พัก แต่เป็นพื้นที่ของการเปลี่ยนผ่าน ผู้คนหลากหลายเดินเข้าออก มีการพบเจอ พูดคุย เชื่อมโยง ซึ่งตรงกับสิ่งที่เราพยายามสร้างใน Kupper พอดี
Pullman เองเป็นโรงแรมเก่าคู่เมืองขอนแก่นมานานที่ปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน และเรามองว่ามันสะท้อนสิ่งเดียวกันกับที่ Kupper พยายามทำ คือการเปลี่ยนภาพจำของศิลปะในอีสานให้กลายเป็นสิ่งที่มีชีวิต มีมิติ และมีศักยภาพในอนาคต
การจัดงานในโรงแรมจะช่วยลบเส้นแบ่งระหว่างพื้นที่เชิงพาณิชย์กับพื้นที่ศิลปะ ทำให้ศิลปิน นักสะสม และผู้ชม มีประสบการณ์ร่วมกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นกันเอง และเข้าถึงง่ายกว่าการอยู่ใน White Cube แบบเดิมๆ เราอยากให้มันเป็นพื้นที่ที่ผู้คนรู้สึกผ่อนคลาย เป็นมิตร ไม่กดดัน ที่นี่คนสามารถเดินดูงานในชุดลำลอง พูดคุย หรือนั่งจิบกาแฟอยู่ข้างงานศิลปะได้อย่างสบายใจ เราอยากให้ศิลปะเข้าถึงง่าย และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่สิ่งที่แยกออกไป
ทำไมต้องมี Art fair ในจังหวัดขอนแก่น
เพราะขอนแก่นคือเมืองที่มีความพร้อมรอบด้าน ทั้งด้านคมนาคม เศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน เป็นหัวใจของอีสานที่เชื่อมต่อผู้คนจากหลากหลายพื้นที่ได้อย่างสะดวก ที่สำคัญ ขอนแก่นยังมีซีนศิลปะที่ค่อยๆ เติบโตจากการทำงานของศิลปิน พื้นที่อิสระ และผู้ผลิตวัฒนธรรมในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันตรงนี้มาตลอด ปีนี้เราจัดงานควบคู่กับเทศกาลอีสานสร้างสรรค์ (Isan Creative Festival) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เมืองเต็มไปด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์ การเสวนา และโปรเจกต์ที่น่าสนใจจากหลากหลายวงการ ทำให้ขอนแก่นกลายเป็นจุดหมายที่ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยว นักออกแบบ นักสะสม และคนที่อยากสัมผัสพลังใหม่ของศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัยในภูมิภาค Kupper Art Fes จึงไม่ใช่แค่งานศิลปะ แต่มันคือการประกาศว่า ขอนแก่นพร้อมบวก ที่จะเป็นเมืองศิลปะของอีสาน ไม่ใช่แค่ในฐานะพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ แต่ในฐานะพื้นที่ของความเป็นไปได้
ศิลปะในพื้นที่ภาคอีสานในมุมมองของคุณมนพร
สำหรับผมแล้ว ศิลปะอีสานไม่ใช่เพียงภาพแทนของวัฒนธรรมพื้นถิ่นที่สวยงามอยู่แล้ว แต่คือการแสดงออกของแรงต้าน การลุกขึ้นยืนอย่างมีศักดิ์ศรีของผู้คนที่แบกรับประวัติศาสตร์ของการถูกกดทับทั้งทางสังคม การเมือง และสายตาที่มองจากศูนย์กลางมายาวนาน
เราเห็นศิลปินจำนวนไม่น้อยที่เลิกเฝ้ารอการอนุญาตจากระบบศิลปะเดิมๆ พวกเขากำลังเดินออกจากเงาของความเงียบ มุ่งหน้าสร้างภาษาของตัวเอง ภาษาจากประสบการณ์จริง ความเจ็บปวดจริง จากจินตนาการที่ไม่ต้องขออนุญาตใคร วันนี้ศิลปะอีสานจึงไม่ใช่แค่การ “อยู่ในที่ของตัวเอง” แต่คือการเขียนแผนที่ใหม่บนพื้นที่ที่เคยถูกลบเสียง และเสียงนั้น วันนี้กำลังเปล่งออกมาอย่างชัดเจน หนักแน่น และดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลงอีกต่อไป
คิดว่าการเติบโตของศิลปินอีสานในเวทีโลกจะเป็นไปในทิศทางใด
ศิลปินอีสานในวันนี้ไม่ได้เติบโตจากการพยายามเลียนแบบหรือเอาใจระบบศิลปะโลกแบบเดิม หากแต่กำลังเติบโตจาก “จุดยืน” ของตัวเอง จุดยืนที่ชัดเจนต่อวัฒนธรรมของตัวตน พื้นที่ และประสบการณ์ร่วมของผู้คนที่ไม่เคยได้รับการเล่าอย่างเต็มเสียงในเวทีโลกมาก่อน โลกศิลปะร่วมสมัยเริ่มหันมาฟังเสียงที่เคยถูกทำให้เงียบ เริ่มตั้งคำถามกับการจัดลำดับศูนย์รอบนอกแบบเดิม และเริ่มขยับเข้ามาแทรกแซง แต่ว่าแน่นอนนั่นคือโอกาสของศิลปินอีสาน แต่ไม่ใช่ในฐานะ “ตัวแทนของท้องถิ่น” แต่ในฐานะผู้ผลิตองค์ความรู้ร่วมสมัยที่พูดได้เอง คิดได้เอง และตั้งคำถามกับโลกได้อย่างเท่าเทียม ทิศทางการเติบโตของศิลปินอีสานในเวทีโลกจึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “การไปให้ไกล และถูกยอมรับ“ แต่คือการส่งเสียงทำให้โลกกลับมาเห็น “ความซับซ้อนที่นี่” ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และยิ่งมีศิลปินที่กล้ายืนยันจุดยืนของตัวเองมากเท่าไร โอกาสที่จะสร้างแรงกระเพื่อมในระดับนานาชาติก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้น
เชิญชวนมาร่วมงาน Kupper Art Fes 2025
ขอเชิญทุกท่านมาลองเปิดฟ้าผ่าจักรวาลใหม่ที่ไร้ขีดจำกัดไปกับพวกเรา ในงาน Kupper Art Fes 2025 ที่โรงแรมพลูแมนใจกลางมหานครขอนแก่น 28-30 มิถุนายน 2568 นี้ พบกับศิลปะหลากหลายรูปแบบ จากศิลปินทั้งจากอีสาน และภมิภาคอื่นรวมถึงงานที่น่าสนใจจากศิลปินต่างประเทศ อีกทั้งงานเสวนา กิจกรรม Work Shop ในบรรยากาศที่คุณไม่สามารถหาจาก งาน Art Fair ที่ไหน มา “ขี่ซ่าง กางฮ่ม ล่องลมใหม่” ด้วยกันครับ
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต