
ชายผู้เปลี่ยนข้อมูลและความหลงใหล
ให้กลายเป็นวิสัยทัศน์เพื่อการบรรลุเป้าหมาย
1.
คุณทำอาชีพอะไรนะครับ ขอทราบอีกที
“ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านแผนและยุทธศาสตร์องค์กรครับ”
ผมฟังทีแรก แม้จะชัดเจนแล้ว แต่ก็พยายามถามซ้ำอีก ด้วยเพราะในใจยังจินตนการไม่ออกว่าอาชีพนี้คืออะไร ยิ่งไปกว่านั้นทำเงินได้อย่างไร เติบโตมาแบบไหน ไปร่ำเรียนอะไรมา ยิ่งบุคลิกภายนอกที่ดูติสต์ๆ ไร้คราบนักวิชาการ ยิ่งคิดไม่ออกว่าชายใบหน้าเดาสัญชาติไม่ได้ที่นั่งอยู่เบื้องหน้านี้จะมีอาชีพอะไรตามที่กล่าวมา คือถ้าไม่ได้ทราบข้อมูลแบ็กกราวนด์ของเขามาก่อนนั่งคุยกัน ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ชีวิตจริงจะได้มีโอกาสทำความรู้จักบุคคลในสายงานเช่นนี้ เพราะโดยอาชีพของเรานั้นไม่มีโอกาสมาบรรจบกันแน่นอน
แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อผมเป็นมือสัมภาษณ์ วันเช่นนี้จึงเกิดขึ้นโดยไม่คาดหมาย
ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะจะได้รู้ว่า เส้นทางชีวิตของมนุษย์นักเล่นแร่แปรธาตุข้อมูลอย่างเขากินอยู่สูดดมและชมชอบอะไรมาบ้างจนหลอมรวมเป็นนักวางแผนและจัดการที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมกำหนดยุทธศาสตร์ระดับชาติมาแล้ว
และนี่คือบทสนทนาที่เกิดขึ้นในร้านอาหารที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งย่านรามอินทรา ดร.อนรรฆ ปิยะกาญจน์ ดูกลมกลืนไปกับบรรยากาศและผู้คนในสถานที่แห่งนั้นมาก อาจจะด้วยใบหน้าคล้ายคนตะวันออกกลาง และมีหนวดเครารกครึ้มมากกว่าชายไทยทั่วไป ความคมเข้มที่ดูแปลกตากลมกลืนกับชาวต่างชาติรอบข้างจึงเป็นคำถามแรกของบทสนทนาในสิ่งที่ผมรู้สึกฉงนเป็นที่สุด
2.
“พ่อเล่าว่าเรามีเสี้ยวเล็กๆ จากเชื้อสายโปรตุเกสฝั่งปู่ที่เป็นคนอยุธยา ส่วนแม่เป็นคนใต้ชาวสุราษฎร์ธานี” ซึ่งนั่นน่าจะทำให้เขาดูมีความอินเตอร์อย่างที่เห็น ทั้งนี้โดยส่วนตัวของผู้เขียนถูกปลูกฝังให้ประเมินคนจากภายนอกว่าเถือกเถาเหล่ากอเขามาจากไหน สำเนียงการพูดบ่งบอกถิ่นกำเนิดไหม หน้าตาแบบนี้เป็นคนที่ไหน ชื่อนามสกุลบอกว่าพวกเขามีเชื้อสายมาจากไหน เป็นการฝึกเป็นนักมานุษยวิทยาแบบเบื้องต้น ก่อนที่จะถามถึงวัยเด็กของเขา... ก็บอกแล้วว่าผมต้องการรู้ว่าเขาเติบโตมาแบบไหน
เมื่อถามว่าอะไรเป็นสิ่งที่กล่อมเกลาจนเป็นเขาขึ้นมาในสายอาชีพนี้ “น่าจะต้องย้อนกลับไปตอนเป็นเด็ก ช่วงปิดเทอมหรือมีวันหยุดยาว พ่อกับแม่จะพาผมและพี่สาวนั่งรถไฟไปอยู่บ้านญาติที่สุราษฎร์ฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่สวนอาหารของคุณป้าในอำเภอเมือง สมัยนั้นถ้าไม่ได้อยู่กับเพื่อนมันก็ไม่มีอะไรจะทำเนอะ นั่งๆ นอนๆ เปิดแอร์อยู่ในห้องทำงานป้า ยุคนั้นตอนกลางวันโทรทัศน์ก็ไม่มีอะไรให้ดู เปิดมามีแต่ภาพซ่าๆ จะมีรายการอีกทีก็ช่วงเย็นๆ โชคดีที่มีร้านขายหนังสือขนาดใหญ่ห่างไม่เกินร้อยก้าวจากสวนอาหาร มีหนังสือหลากหลายให้เลือก การอ่านหนังสือเลยกลายเป็นการฆ่าเวลาได้เป็นอย่างดี” เขาเล่าว่าความชอบอ่านหนังสือน่าจะได้มาจากคุณพ่อที่ทั้งชอบอ่านและสะสม “หนังสือแปล” โดยเฉพาะนิยายของ “อกาธา คริสตี” และ “สตีเวน คิง”
“หนังสือที่ซื้อมาอ่านส่วนใหญ่จะเป็นผลงานสนุกๆ ของ “เป้ สีน้ำ” เล่มจะบางๆ หน่อย ผมเลยอ่านหนังสือตกวันละเล่มได้ คือมันไม่มีอะไรจะทำจริงๆ แต่หนังสือที่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของความเป็นผมในวันนี้คงเป็นหนังสือด้านปรัชญาการจัดการของ ดร.เดมมิ่ง (W. Edwards Deming) จำไม่ได้ว่าอะไรทำให้เด็กคนหนึ่งซึ่งในเวลานั้นก็ช่วงประมาณประถมปลาย เลือกที่จะหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาพลิกหน้าพลิกหลังแล้วสงสัยว่าทำไมฝรั่งจากซีกโลกตะวันตกคนนี้ถึงได้เป็นบุคคลสำคัญด้านแนวคิดการบริหารจัดการของประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีความเป็นชาตินิยมสูงมากๆ ได้ จนต้องซื้อหนังสือเล่มหนากลับมาอ่านให้หายคาใจ ตอนนั้นยังไม่เข้าใจคำว่าการจัดการด้วยซ้ำไป” หนังสือเล่มนั้นทำให้เขาหันมาสนใจในองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะแนวคิดด้านการบริหารจัดการแบบญี่ปุ่น
พอโตขึ้นหน่อยในช่วงมัธยมต้นที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขาเริ่มสนใจหนังสือด้านปรัชญาร่วมกับเพื่อนอีก 2 คนที่เป็นคอเดียวกัน ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทั้งความคิดเห็นและหนังสือที่น่าสนใจ “เริ่มมาจากเราสามคนเป็นบรรณารักษ์ที่ห้องสมุดโรงเรียนเหมือนกัน ชอบด้านอิเล็กทรอนิกส์เหมือนกัน และชอบหนังสือปรัชญาเหมือนกันด้วย” เขายังชื่นชอบงานเขียนของรพิณฐนารถ ฐากูรเป็นอย่างมาก รวมถึงหนังสือกวีนิพนธ์อื่นๆ ที่พอจะหามาอ่านเองได้ “ผมรู้จักหนังสือของรพิณฐนารถ ฐากูรครั้งแรกจากร้านหนังสือมือสองที่ตลาดนัดจตุจักร... การอ่านหนังสือที่ใช้ภาษาสวยงาม อ่านคำสองคำแล้วต้องมานั่งคิดทบทวนและตีความ ผมว่ามันสนุกดี”
ช่วงนั้นเขายังสนใจด้านการฝึกจิตนั่งสมาธิ ในขณะที่พ่อคิดว่าลูกโตไปน่าจะได้เป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์เพราะเริ่มออกแบบวงจรและกัดแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์เองแล้ว “จากที่เคยเป็นเด็กไฮเปอร์อยู่ไม่สุขตั้งแต่เกิด กลายเป็นคนนิ่งๆ จนที่บ้านเริ่มเป็นห่วงคิดว่าอ่านปรัชญามากกลัวจะ “หลุด” คือตอนนั้นเริ่มไปอ่านหนังสือด้านอภิปรัชญาและพุทธศาสนาเลยทำให้ผมเริ่มฝึกนั่งสมาธิ แต่ศึกษาได้ไม่นานก็รู้ตัวว่ามันเกินความสามารถในการทำความเข้าใจด้วยตัวเอง และที่บ้านก็ดูจะเป็นห่วงจนเริ่มเป็นปัญหาเพราะคิดว่าผมเหม่อลอย เลยตัดสินใจที่จะหยุดไว้เพียงเท่านั้นก่อน” และเขายังเป็นลูกเสือกองร้อยพิเศษโรงเรียนสวนกุหลายวิทยาลัยตลอดช่วงมัธยมต้นและได้รับรางวัลนักเรียนกิจกรรมดีเด่น ทำให้ฉายา “ป๊อป กองร้อย” กลายเป็นชื่ออ้างอิงในกลุ่มเพื่อนสวนฯ จนปัจจุบัน
พอขึ้นมัธยมปลาย เขาได้เป็นผู้ช่วยงานอาจารย์ห้องโสตทัศนศึกษา ดูแลการจัดรายการวิทยุกระจายเสียงและรายการโทรทัศน์ภายในโรงเรียนซึ่งออกอากาศตอนเช้าก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติ รวมถึงการถ่ายภาพนิ่งและวีดีโอกิจกรรมของโรงเรียนบ้างเป็นครั้งคราว และยังสนใจการวาดรูปอีกด้วย
“รูปเหมือนรูปแรกที่วาดส่งอาจารย์ในวิชาวาดเขียนตอน ม.4 ในตอนนั้นรู้สึกว่าผมวาดออกมาได้เหมือนมากๆ เดินอวดคนไปทั่ว แต่จริงๆ พอย้อนไปดูมันไม่ได้เหมือนเอาซะเลย (ฮา) แต่ในเวลานั้นมันเกิดกำลังใจที่จะพัฒนาฝีมือการวาดรูป ผมถือกระดานวาดรูปอันใหญ่ๆ หรือไม่ก็สมุดวาดเขียนปกสีดำหนาๆ ไปโรงเรียนทุกวัน ว่างก็นั่งวาดต้นไม้ใบไม้ไปเรื่อย จนวันนึงอาจารย์ให้โจทย์สร้างผลงานรูปในหลวงโดยใช้เทคนิคอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การ Drawing หรือ Painting เลยเลือกใช้ปากกาวาดเส้นสีดำหัว 0.05 ค่อยๆ จุด ใช้เวลาเกือบ 3 เดือนกว่าจะเสร็จ”
เรื่องการวาดรูปนี้ดูเขามีความภูมิใจมาก เนื่องจากพระบรมสาทิสลักษณ์ รัชกาลที่ 9 ของเขาถูกนำไปประดิษฐานบนโต๊ะหมู่พร้อมเครื่องทองน้อยด้านหน้าประตูทางเข้าโรงเรียนในทุกเดือนธันวาคมตลอด 3 ปีที่เขาเรียนมัธยมปลาย และเขายังได้รับเลือกเป็นผู้บัญชาการกองพันนักศึกษาวิชาทหารของศูนย์ฝึกวิภาวดีตลอดทั้ง 3 ชั้นปีสมัยเรียน รด.
“สมัย ม.ปลาย ผมเล่นดนตรีด้วยนะ เป็นมือกลอง ผมเรียนรุ่นเดียวกันกับตูน บอดี้สแลม วงผมเก่งทุกคนยกเว้นมือกลอง” เขาหัวเราะร่วน “ตอนนั้นผมเรียนห้องวิทย์-ชีวะ คือใครอยากสอบเป็นหมอก็จะเรียนห้องนี้ เพราะถ้าจำไม่ผิดจะมีแค่คณะแพทย์และวิทยาศาสตร์ที่ต้องใช้วิชาชีวะวิทยาในการสอบเอ็นทรานส์ ตอนเลือกเรียนห้องนี้เพราะชอบวิชาวิทยาศาสตร์และชอบประดิษฐ์ทดลองโน้นนี้นั้นไปเรื่อยตั้งแต่เด็ก คิดภาพไว้ว่าอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ทำวิจัยอยู่ในห้องแลปประมาณนั้น แต่สุดท้ายใจมันไปทางด้านศิลปะ จึงตัดสินใจที่เปลี่ยนคณะทั้ง 4 อันดับจากสายวิทยาศาสตร์ที่ตั้งใจเอาไว้ในเช้าวันที่สมัครสอบเอ็นทรานส์นั่นเลย ผมเลือกคณะสถาปัตยกรรมและมัณฑนศิลป์ โดยเฉพาะสาขาการออกแบบจิวเวอรี่ซึ่งปีนั้นเพิ่งเปิดเป็นปีแรก หลังจากสมัครสอบเลยต้องไปติวด้านสถาปัตยกรรมที่ศิลปากร ด้วยความที่เป็นคนเขียนลายเส้นแบบ “ขนแมว” และประดิดประดอย พี่ๆ ที่ติวให้เห็นแล้วแนะนำว่าเหมาะจะไปเรียนพวกจิตรกรรมมากกว่า” สุดท้ายเขาเป็นคนเดียวในกลุ่มเพื่อนที่สอบเอ็นทรานส์ไม่ได้ตามที่ตั่งใจ เลยเป็นจุดพลิกผันให้ต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางเดินชีวิตใหม่
“ตอนนั้นตั้งใจไว้แล้วว่า เลือกคณะที่อยากเรียนให้เต็มที่ไม่ต้องเผื่อ ถ้าเอ็นทราส์ไม่ติดจะไม่เลือกเส้นทางด้านศิลปะ ให้ศิลปะเป็นแค่ความชื่นชอบและงานอดิเรก” ถึงแม้พ่อของเขาจะเปิดโอกาสให้เรียนสถาปัตยกรรมใน ม.เอกชน แต่เขาในตอนนั้นเริ่มหวนนึกถึงหนังสือของ ดร.เดมมิ่ง จึงตัดสินใจเลือกที่จะเรียนคณะบริหารธุรกิจ “ตอนนั้นผมสนใจอยู่สองคณะ คือ วิศวะฯ ดาวเทียมของ ม.มหานคร และบริหารธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ซึ่งตอนนั้นคิดแบบเด็กๆ ว่าด้านวิศวะน่าจะทำให้ผมติดอยู่กับกรอบคิดของการคำนวณที่ต้องแม่นยำ แต่สำหรับบริหารธุรกิจน่าจะทำให้ผมสามารถใช้จินตนาการเพื่อคิดนอกกรอบได้ ผมเลยเลือกที่จะเรียนบริหารธุรกิจ” เขาจึงได้เข้าเรียนในคณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
3.
และที่นี่ ช่วงเวลาแห่งวัยหนุ่มนี้ก็ทำให้เขาได้พบกับความชัดเจนของชีวิตที่จะนำพาเขามาสู่งานด้านวิชาการ โดยจิ๊กซอว์ตัวแรกเริ่มต้นจากการที่เขาสนิทกับอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งเป็นหัวหน้าสาขาวิชาจนกลายเป็นเสมือนผู้ช่วยอาจารย์ เนื่องจากมีความสนใจแนวคิดด้านการบริหารจัดการแบบญี่ปุ่นเหมือนกัน และชื่นชอบ ดร.เดมมิ่งเหมือนกัน
“อาจารย์ที่ปรึกษาผมชื่อ อ.อุทัย รัตน์วิจิตต์เวช สิ่งที่ผมประทับใจอาจารย์มากที่สุดคือสิ่งที่อาจารย์สอนนักศึกษาเป็นการนำองค์ความรู้และแนวคิดด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ที่ยังไม่ได้ถูกบรรจุในตำราเรียนมาเรียบเรียงเป็นเอกสารและบรรยาย โดยเฉพาะแนวคิดด้านการจัดการแบบญี่ปุ่นซึ่งในสมัยนั้นแทบไม่มีใครพูดถึงด้วยซ้ำไป ทำให้ผมรู้สึกสนุกและสนใจที่จะเรียนรู้ โดยเฉพาะการทำรายงานเพราะได้ลงมือวิเคราะห์ด้านการบริหารจัดการโดยนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ทั้งเครื่องมือและองค์ความรู้รอบตัวมาปรับใช้เพื่อให้ได้แนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด” การเรียนการสอนแบบนำสิ่งนั้นสิ่งนี้มาปรับใช้ เอาองค์ความรู้ด้านต่างๆ มาประกอบเข้าด้วยกัน ทำให้เขาสนุกกับการค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมและเกิดมุมมองที่แปลกใหม่ ทำให้ในภายหลังจึงได้เห็นว่า คนที่มีความรู้เพียงด้านเดียวนั้น ไม่เพียงพอเลยในโลกของการทำงาน
“ในช่วงที่ทำเรื่องเรียนจบชั้นปีที่ 4 อ.อุทัยเรียกผมเข้าพบ ซึ่งตอนนั้นอาจารย์เป็นผู้ช่วยอธิการบดีไม่ได้เป็นหัวหน้าสาขาวิชาแล้ว อาจารย์บอกว่าอยากให้ผมไปเรียนต่อปริญญาโทเพราะอยากให้กลับมาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย และถ้าที่บ้านส่งไหวอยากให้ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ อาจารย์เน้นย้ำว่าให้ไปเรียนต่อเลยไม่ต้องไปทำงาน พร้อมบอกเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ถึงสาเหตุของคำแนะนำ แต่ในตอนนั้นผมอยากมีประสบการณ์เพื่อสั่งสมความเชี่ยวชาญจากการได้ทำงานจริง ไฟมันกำลังแรง อยากเห็นองค์กรต่างๆ ทำงานยังไง การบริหารจัดการของแต่ละองค์กรประสบความสำเร็จหรือไม่สำเร็จจากเงื่อนไขและข้อจำกัดอะไรบ้าง เพราะการบริหารจัดการเป็นทั้ง “ศาสตร์และศิลป์” ที่บางครั้งต้องใช้จินตนาการมากกว่าหลักการและทฤษฎี จึงทำให้ผมตัดสินใจเลือกที่จะไปทำงานก่อน แต่คำพูดของ อ.อุทัยในวันนั้นได้จุดประกายให้ผมมีเป้าหมายที่จะกลับมาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยในวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อผมมีความรู้ความเชี่ยวชาญเพียงพอและพร้อมจะส่งต่อองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มีให้คนอื่น”
ช่วงที่เรียน ป.ตรี อยู่นั้น เขายังได้เปิด “ร้านอินเตอร์เน็ต” แถวหลังมหาวิทยาลัยไปด้วย เป็นร้านแรกๆ ในย่านนั้น ซึ่งธุรกิจก็เหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี “ร้านผมไม่ได้ขายชั่วโมงเน็ตนะ แต่ผมขายความสบายใจ คือตั้งใจอยากให้ลูกค้าคิดว่าถ้าไม่มีอะไรทำให้มานั่งเล่นที่ร้านดีกว่า ไม่ต้องใช้เครื่องก็ได้ ช่วยทำรายงานและช่วยติวให้ด้วยนะ โดยจะมีทีมงานที่เป็นน้องๆ คณะวิศวะฯ คอยดูแลและสร้างความเฮฮาตลอดเวลาแต่ต้องเล่นเกมส์เก่งกว่าลูกค้า เพราะต้องให้ลูกค้าพยายามมาเล่นเพื่อชนะเราให้ได้ ที่รู้สึกภูมิใจคือ ถึงแม้ว่าค่าชั่วโมงเน็ตที่ร้านจะแพงกว่าร้านอื่น 2-4 เท่าตัว คอมก็กระตุกเวลาเล่นเกมส์ แต่ลูกค้าเต็มตลอด เค้าบอกว่าสบายใจที่ได้มานั่งเล่นที่ร้านเรา ผมถือว่าธุรกิจประสบความสำเร็จนะ” แต่ภายหลังค่าลิขสิทธิ์ทั้งเกมส์และโปรแกรมที่ใช้งานแพงมากเกินไปจนไม่คุ้มค่าเลยต้องปิดกิจการลง และนั่นคือชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยระดับปริญญาบัณฑิตของเขา
4.
โลกของการทำงานเริ่มขึ้นทันทีหลังจากเรียนจบ เขาได้เข้าทำงานในองค์กรที่หลากหลายตั้งแต่บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น สนามกอล์ฟและสปอร์ทคลับ โรงงานผลิตหมึกพิมพ์ บริษัทขนส่งน้ำมัน ไปจนถึงบรรษัทภิบาลข้ามชาติขนาดใหญ่อย่าง Unocal Thailand ที่ต้องไปอยู่กลางอ่าวไทย 14 วัน และขึ้นมาพัก 14 วัน “ตอนอยู่แท่นเจาะน้ำมันผมว่าช่วงนั้นทุกอย่างดูลงตัวนะ ใช้ชีวิตสบายจนเหมือนจะสบายเกินไป ตอนทำงานก็เหนื่อยนะแต่มีเพื่อนร่วมงานดีเลยไม่เบื่อเท่าไหร่ในการอยู่กลางทะเล สนุกกับงาน มีเรื่อง oilfield ให้เรียนรู้มากมาย เจอเพื่อนสวนกุหลาบหลายคน และได้เรียนรู้การบริหารจัดการองค์กรองค์กรแบบอเมริกันเต็มที่”
แต่ชีวิตการทำงานของเขาก็ยังรู้สึกไม่ตอบโจทย์ชีวิตตัวเอง “พักหลังๆ พอกลับจากการทำงานมาบ้านที่กรุงเทพฯ เริ่มเห็นพ่อกับแม่แก่ตัวขึ้นทุกรอบอย่างสังเกตได้ คือไม่เคยรู้สึกว่าเค้าแก่ตัวขึ้นจนตอนนั้นแหละ เลยรู้สึกว่าเราอยากทำงานใช้ชีวิตแบบคนปรกติได้อยู่ดูแลเค้ามากกว่าที่จะเจอหน้ากันไม่กี่วันเพราะติดเที่ยวเล่นด้วย เลยคิดว่าน่าจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพียงพอแล้ว” หน้าที่การงานกำลังเติบโตแต่เขาเลือกที่จะเดินตามแผนเดิมตามที่เคยคุยกับอาจารย์อุทัยไว้
เขาจึงตัดสินใจเลือกที่จะเรียนต่อในระดับปริญญาโท เพียงแต่ไม่ได้ไปเรียนต่อต่างประเทศตามที่เคยได้รับคำแนะนำ “ผมสนใจหลักสูตรที่เป็นการบริหารจัดการระดับสูง หรือเรียกว่าหลักสูตร CEO ที่เพิ่งเริ่มมีได้ไม่นาน เพราะดูจากโครงสร้างวิชาแล้วคิดว่าน่าจะตอบโจทย์ความต้องการที่จะเรียนรู้ของผมได้มากกว่าหลักสูตรระดับทั่วไป ตอนนั้นมีเปิดสอนอยู่สองที่คือ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งจริงๆ มีเกณฑ์เรื่องอายุในการรับสมัครทั้งสองแห่ง ที่รามคำแหงผมสมัครไม่ได้เลยเพราะติดเรื่องอายุ และตอนแรกที่หอการค้าก็ไม่ได้ให้ผมสมัครนะ แต่ผมติดต่อขอโอกาสเพื่อเข้าไปสอบสัมภาษณ์ดูก่อน” ในที่สุดเขาก็ได้เรียนต่อบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาการจัดการ ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยในหลักสูตร CEO MBA สมใจ
“ความสำคัญของการเรียนปริญญาโทหลักสูตรนี้คือเน้นให้นักศึกษาคิดเชิงกลยุทธ์ จึงทำให้ผมได้เรียนรู้เรื่องการวางแผนยุทธศาสตร์องค์กรอย่างจริงจัง เนื่องจากสมัยนั้นแนวคิดเรื่องยุทธศาสตร์องค์กรยังค่อนข้างใหม่ในบ้านเรา และอีกวิชาที่ผมชอบคือระเบียบวิธีวิจัย ทั้งสองวิชาเป็นเรื่องของการคิดอย่างเป็นระบบเพื่อให้มีกรอบวิธีคิดและวิธีดำเนินการที่ชัดเจน เป็นวิทยาศาสตร์ และเชื่อถือได้” การเรียนปริญญาโทที่นี่ทำให้สิ่งที่เขาชื่นชอบชัดเจนขึ้น นั่นคือการวางแผน
“การวางแผนและการคิดอย่างเป็นระบบทำให้เกิดการวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมทั้งตามแนวคิดทฤษฎีและปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน รวมถึงการเลือกเครื่องมือมาปรับใช้ รู้ว่ากรอบคืออะไร ทางเลือกคืออะไร และนอกจากนั้นยังทำให้เรียนรู้ที่จะเขียนเพื่อสื่อสารออกมาอย่างเป็นระบบ ฟัง คิด แล้วก็สังเคราะห์กรอบข้อมูลต่างๆ ออกมาเป็นแนวคิดที่ชัดเจน เรียบง่าย เข้าใจง่าย และเชื่อถือได้” และแล้วจิ๊กซอว์ที่ทำให้เขาเข้าสู่แวดวงวิชาการก็ปรากฏตัวขึ้น
“ช่วงที่เรียนปริญญาโท ผมมีโอกาสได้เป็นผู้ช่วยวิจัยให้กับ รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ที่ศูนย์วิจัยธรรมาภิบาล เลยมีโอกาสได้ร่วมงานกับนักวิชาการอาวุโสชื่อดังหลายท่าน ได้เห็นวิธีการทำงานที่น่าทึ่ง ท่านเหล่านี้สามารถนำข้อมูลต่างๆ ที่ได้อ่านได้ฟังมาเขียนเป็นกรอบความคิดที่เรียบง่ายครอบคลุมเชื่อมโยงเนื้อหาทั้งหมด จากที่ประชุมกันหลายชั่วโมงและมีข้อมูลที่กระจัดกระจายมาก แต่สามารถสรุปรวบออกมาได้เป็นกรอบแนวคิดไม่กี่ก้อนที่ใช่และชัดเจนโดยเลือกใช้คำเพียงไม่กี่คำ ตอนนั้นผมรู้สึกทึ่งมาก เลยพยายามที่จะเรียนรู้และฝึกฝนเพื่อให้คิดเป็นระบบและสังเคราะห์ข้อมูลออกมาเป็นกรอบความคิดที่ชัดเจนให้ได้”
แต่ความเครียดจากการทำงานที่ต้องอัพเดตเรื่องราวทางการเมืองทุกวันให้กับศูนย์วิจัยธรรมาภิบาล ด้วยช่วงเวลานั้นประเทศไทยอยู่ในระหว่าง “เล่นกีฬาสี” ทำให้ภายหลังตัวเขาเองไม่ชอบการเมืองเลย แม้กระทั่งการเมืองเล็กๆ ในองค์กร เขาบอกว่าการเมืององค์กรแบบนี้แหละที่เป็นแรงเสียดทานในการเติบโตของธุรกิจ เกิดการสื่อสารที่ผิดพลาด ลดทอนสมรรถนะ องค์กรก็พลอยทุพพลภาพไปด้วย
“ในช่วงระหว่างทำวิทยานิพนธ์ ผมบังเอิญได้เจอกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่ประจำสาขาวิชาสมัยเรียน ป.ตรี โดยรุ่นผมเป็นนักศึกษารุ่นแรกและวิชาแรกของท่านที่เพิ่งเข้ามาสอนเป็นเทอมแรก อาจารย์ท่านนั้นจำผมได้ทันที จำได้แม้กระทั้งชื่อเล่นจนผมประหลาดใจ อาจารย์จึงเล่าว่าที่จำได้เพราะผมเป็นนักศึกษาคนแรกและคนเดียวที่ทำเรื่องเพื่อขอดูผลการตรวจข้อสอบอัตนัยในวิชาที่อาจารย์เป็นผู้สอนในเทอมแรกนั้นเลย... ผมได้นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวและประสบการณ์ ได้รับฟังความเป็นไปของสาขาวิชาที่เคยร่ำเรียน จนในท้ายที่สุดอาจารย์พูดขึ้นมาว่า จบแล้วสนใจมาเป็นอาจารย์สอนน้องๆ ที่สาขามั้ย?” คำเชิญชวนของอาจารย์ท่านนี้ยิ่งตอกย้ำเป้าหมายและความหวังในการเป็นอาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัยของเขาเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากเรียนจบปริญญาโท เขาวางแผนที่จะเดินทางไปศึกษาต่อยังต่างประเทศในหลักสูตรระยะสั้น 1-2 ปี เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของการใช้ชีวิตในต่างแดนตามที่อาจารย์อุทัยแนะนำไว้ “ตอนนั้นผมและพี่สาวเรียน ป.โท และติดอยู่ที่ thesis เหมือนกัน พ่อกับแม่เลยยื่นข้อเสนอว่าใครเรียนจบก่อนจะให้เรียนต่อปริญญาเอกก่อน ด้วยจังหวะหลายๆ อย่างทำให้ผมสำเร็จการศึกษาก่อน เลยตั้งใจว่าจะยังไม่เรียน ป.เอก แต่จะขอไปใช้ชีวิตต่างประเทศสักพัก” แต่เนื่องจากมีเหตุการณ์หลายๆ อย่างไม่ลงตัว โดยเฉพาะปัญหาด้านสุขภาพ ทำให้เขาต้องล้มเลิกเป้าหมายที่จะเดินทางไปประเทศแคนาดา ทั้งที่เริ่มติดต่อมหาวิทยาลัยและดูเรื่องที่พักไว้แล้ว
5.
ในระหว่างรอ “ที่ว่าง” สำหรับตำแหน่งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ตั้งเป้าหมายไว้ เขาได้รับโอกาสทำงานโครงการระยะสั้นไม่เกิน 1 ปีให้กับ ดร.วรพล โสคติยานุรักษ์ และ รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ซึ่งทั้งสองท่านเป็นพี่น้องกัน ในโครงการฝึกอบรมหลักสูตรนักปกครองระดับสูง หรือ นปส. ของสถาบันดำรงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย ที่ร่วมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์หรือนิด้า โดยมีอาจารย์มนตรีเป็นผู้อำนวยการหลักสูตร ส่วนเขาประจำหน้างานที่วิทยาลัยมหาดไทย สถาบันดำรงราชานุภาพ จังหวัดชลบุรี ในตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการ
“นปส. เป็นหลักสูตรฝึกอบรมระดับสูงสุดโครงการแรกของประเทศ จึงเป็นโครงการที่ใหญ่มาก ใหญ่ทั้งผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่เป็นนายอำเภอจากทั่วประเทศเพราะถ้าจะขึ้นตำแหน่ง “พ่อเมือง” จะต้องผ่านหลักสูตรนี้ก่อนเท่านั้น รวมถึงผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานราชการอื่นๆ ทั้งระดับผู้อำนวยการแม้แต่ผู้บัญชาการเรือนจำ และใหญ่ทั้งผู้บรรยายที่เป็น “ที่สุด” ในแต่ละหัวข้อวิชา มีทั้งอดีตรองนายกรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียง ผู้เชียวชาญและคณะจารย์ชื่อดังของประเทศ ทำให้ทุกรายละเอียดของโครงการจึงเป็นเรื่องสำคัญ”
หลังจากจบโครงการ นปส. อาจารย์มนตรีได้ชักชวนให้เขามาเป็นผู้ช่วยงานที่นิด้า และให้ทุนในการเรียนต่อระดับปริญญาเอกเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือทางวิชาการของเขา และอยากให้เขาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ทำให้โอกาสการเรียนต่อในระดับปริญญาเอกถูกเปิดขึ้นในขณะที่การสมัครงานในตำแหน่งอาจารย์จึงต้องถูกเลื่อนออกไปอีก และที่นิด้านี่เอง จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญได้ถูกนำมาจัดวาง
“หลังจากเสร็จหลักสูตร นปส. ที่ชลบุรี อาจารย์มนตรีได้ชักชวนผมให้มาช่วยงานที่นิด้าในฐานะผู้ช่วยวิจัย และยังเมตตาให้ทุนเรียนต่อปริญญาเอกด้านรัฐประศาสนศาสตร์ สาขาการจัดการภาครัฐและเอกชน โดยบอกว่าการเรียนสาขาวิชานี้จะทำให้มีกรอบความคิดที่กว้าง เข้าใจที่มาที่ไปและกลไกการดำเนินงานที่สอดประสานกันขององค์การทั้งรัฐและเอกชน เพราะตอนแรกผมขอไปเรียนต่อคณะบริหารธุรกิจโดยตรง”
“ตอนเข้าเรียนปริญญาเอกใหม่ๆ ผมได้ค้นพบโลกอีกใบ โลกที่มีคนคิดและพูดจาภาษาเดียวกัน คือแต่ไหนแต่ไรมักมีคนบอกว่าผมพูดมีหลักการมากเกินไป แต่พอได้เจอเพื่อนในกลุ่มที่เรียนเอกด้วยกัน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่นึกว่าจะเจอคนที่บ้าหลักการเหมือนกัน คิดว่าเป็นคนแปลกแยกอยู่คนเดียว คงประสบปัญหาคุยกับคนอื่นไม่ค่อยรู้เรื่องมาเหมือนกัน (ฮา) เลยทำให้การเรียนปริญญาเอกยิ่งสนุกและท้าทายในการได้ถกเถียงโต้แย้งภายใต้แนวคิดทฤษฎีอย่างเต็มที่ แม้แต่การคุยเล่นก็มักอ้างถึงแนวคิดทางวิชาการอย่างสนุกสนาน” เขาจึงได้เจอเผ่าพันธุ์ของตัวเองเสียที
“ในส่วนของการทำงาน ผมมีหน้าที่ดูแลหลักสูตรฝึกอบรมที่อาจารย์มนตรีรับมาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภายนอกในนามสถาบันฯ และงานด้านวิจัยรวมถึงงานด้านวิชาการต่างๆ โดยได้มีโอกาสร่วมจัดทำแผนยุทธศาสตร์ทั้งแผนระยะยาว 5-10 ปี และแผนงานระดับต่างๆ ของหน่วยงานภาครัฐทั้งระดับกรมและระดับกระทรวง หน่วยงานรัฐวิสาหกิจและองค์กรอิสระ ทำให้ได้เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ไปจนถึงแผนระดับปฏิบัติการ” และเขายังได้ช่วยงานอาจารย์วรพลในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และประธานคณะอนุกรรมการการเงิน การธนาคาร สถาบันการเงิน และตลาดทุน ในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญประจำตัว สนช. มีหน้าที่วิเคราะห์ร่างกฎหมายที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ
ประสบการณ์ทำงานหน้าที่ต่างๆ ในช่วงเวลานั้น ทำให้เขาได้เข้าไปมีส่วนร่วมและได้ศึกษาแผนการพัฒนาทั้งในระดับภูมิภาค และอนุภูมิภาคโดยเฉพาะแผนการพัฒนาประเทศในระดับต่างๆ ได้เห็นความเป็นมาและที่กำลังจะเป็นไป ทำให้เขาเริ่มชื่นชอบการวิเคราะห์แผนการพัฒนาโดยเฉพาะแผนการพัฒนาเชิงพื้นที่ แต่ในขณะนั้นเป้าหมายที่จะเป็นอาจารย์ยังคงชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลง
“หลังจากสอบผ่านการวัดคุณสมบัติระดับดุษฎีบัณฑิต หรือ QE จนได้ตำแหน่งทางวิชาการเป็น “ว่าที่ด็อกเตอร์” จึงได้ติดต่อไปยังมหาวิทยาลัยที่ตั้งใจจะไปเป็นอาจารย์ผ่านทางอาจารย์ท่านหนึ่งที่สนิทกันและเรียนด้วยกันสมัยปริญญาโท เลยได้พูดคุยกับคณบดีโดยตรง ท่านได้แนะนำว่าอยากให้รอจบปริญญาเอก เพราะมีเงื่อนไขที่อาจไม่สามารถนำวุฒิปริญญาเอกมาปรับคุณวุฒิที่มหาวิทยาลัยได้ในภายหลัง ทำให้ผมต้องรอต่อไปจนกว่าจะจบปริญญาเอกอย่างเต็มตัว”
6.
แล้วจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายก็ถูกนำมาจัดวางจนเป็นภาพของสายอาชีพที่เขาเชี่ยวชาญ “ช่วงระหว่างทำดุษฎีนิพนธ์ ผมได้รับการชักชวนให้ไปทำงานที่บริษัทปรึกษาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในตำแหน่ง “ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านแผนและยุทธศาสตร์” โดยได้โอกาสพัฒนาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ แผนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาแหล่งน้ำและทางน้ำธรรมชาติอย่างยั่งยืนระยะ 20 ปี ข้อเสนอแผนยุทธศาสตร์ชาติรายภาคระยะ 20 ปี และแผนการพัฒนาอื่นๆ”
เขากล่าวว่า หลายๆ คน ไม่เข้าใจว่างานของนักยุทธศาสตร์คืออะไร บางคนคิดแค่ว่าเขียนถ้อยคำให้สวยหรูแต่จับต้องหรือปฏิบัติจริงไม่ได้ “ในความเป็นจริง การวางแผนระดับประเทศไปจนถึงองค์กรขนาดเล็กจิ๋วที่ดีใดๆ ก็ตาม เริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายและการวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าใจสภาพแวดล้อมและบริบทให้รอบด้านเพื่อกำหนดเส้นทางที่จะเดินไปให้ถึงเป้าหมาย ทั้งสิ่งที่ผ่านมา สถานการณ์ปัจจุบัน และการคาดการณ์สิ่งที่อาจเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นั่นก็คือ รู้เขา รู้เรา รู้ภูมิประเทศ รู้จักคาดการณ์อย่างแม่นยำ รู้ทางหนีทีไล่ และมี “กึ๋น” รบร้อยครั้งชนะตั้งแต่ยังไม่รบ! นักยุทธศาสตร์จึงต้องมีข้อมูลรอบด้านที่มากเพียงพอ เพื่อให้เกิด “ภาพบนกระดาน” ที่จะนำมาวิเคราะห์ประกอบการตัดสินใจกำหนดแผนในแต่ละระดับให้ได้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างแนวทางที่เป็นไปได้ในการขับเคลื่อนทั้งองคาพยพให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งเป้าหมายที่ตั้งใจไว้แต่แรกอาจถูกปรับเปลี่ยนให้เล็กลงหรือยิ่งใหญ่เกินจินตนาการเมื่อเราได้วิเคราะห์สภาพแวดล้อมรอบด้านได้อย่างทะลุปรุโปร่ง”
เขากล่าวว่า สิ่งที่เขียนออกมาที่ทุกคนเห็นเป็นเพียงผลผลิตสุดท้ายของกระบวนการเฉพาะในส่วนของการพัฒนาแผนในระดับต่างๆ และจะต้องมีกระบวนการการจัดสรรทรัพยากร การนำไปปฏิบัติ การติดตามประเมินผล และการทบทวนแผนต่อไป “ภายใต้คำสวยๆ เหล่านั้นคือการสื่อสารระหว่างความคิดแล้วถ่ายทอดออกมาเป็นสัญลักษณ์ทางภาษาที่ผ่านการขัดเกลา สิ่งที่สื่อสารออกมาต้องเลือกใช้คำและภาษาที่ชัดเจนเข้าใจง่าย สามารถสื่อสารให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับรู้ข้อมูลที่มีความเข้าใจที่ตรงกัน ดังนั้นคำที่นำมาเรียงร้อยนั้นมีที่มาทั้งหมด ไม่ได้แค่คำพูดสวยหรูดูดี แต่มันคือ “ภาพ” ของกระบวนการทั้งหมดที่มีที่มาที่ไปและนัยสำคัญซ่อนอยู่ด้วย” เพราะการตีความแต่ละคำของแผนยุทธศาสตร์และกลยุทธ์จะถูกแตกออกไปเป็นแผนปฏิบัติการและการจัดสรรทรัพยากรโดยเฉพาะงบประมาณที่มีจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาและศักยภาพในการแข่งขัน งานเหล่านี้เปรียบเหมือนผลงานทางศิลปะสำหรับเขา เพราะว่าทำให้มีสมาธิจมดิ่งได้เป็นระยะเวลานาน จนบางครั้งลืมเวลากินเวลานอน
“กรอบแนวคิดก็เหมือนองค์ประกอบของภาพทั้งหมด การวิเคราะห์ข้อมูลใส่ลงไปก็เหมือนการจรดพู่กันแต้มสีสัน จะศึกษาอะไร จะวางกรอบแนวคิดอย่างไร ครบถ้วนเพียงพอแล้วหรือไม่ จะเลือกใช้คำไหน จะเรียงร้อยถ้อยคำยังไง เลือกใช้ภาษาแบบไหนให้เหมาะสม เพื่อให้ถ่อยคำสามารถสื่อสารความคิดทั้งหมดให้ได้ชัดเจนเพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกันมากที่สุด ดังนั้นสำหรับผมการเขียนแผนใดๆ ก็ตามไม่ได้ต่างจากการสร้างผลงานศิลปะ มันมีคอนเซ็ปต์ไม่ต่างกัน อยู่ที่ว่าเราเอาอะไรมาสร้างผลงานนี้ ซึ่งผลลัพธ์ก็เหมือนงานศิลปะอย่างหนึ่งที่สวยงามด้วยการเรียงร้อยเชื่อมโยงที่มาที่ไปทั้งหมดด้วยถ้อยคำที่สามารถสื่อสารข้อความให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องได้อย่างชัดเจนและเข้าใจความหมายตรงกัน หรือเรียกได้ว่าเขียนเรื่องยากและซับซ้อนให้เป็นคำที่เข้าใจง่าย สามารถนำไปดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายได้อย่างราบรื่น หรืออีกด้านก็คือข้อความที่ผ่านการสังเคราะห์ที่ครบถ้วนรอบด้านจนได้แผนและแนวทางในการดำเนินการที่ต้องมีความท้าทายและเหมาะสมที่สุด”
ระหว่างที่สนทนาถึงเรื่องเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลและกรอบแนวคิดนี้เอง ทั้งนำเสียงและแววตาของ ดร.อนรรฆ ดูเหมือนจะแววโรจน์ขึ้นมากกว่าปกติ ราวกับว่าเขากำลังพูดถึงสิ่งที่เขารักมากที่สุด รักจนขนาดถึงขั้นคลั่งไคล้ เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อและความสุข
7.
ด้วยความที่เขาชอบแผนการพัฒนาเชิงพื้นที่ เขาจึงเลือกที่จะท้าทายตนเองโดยการอยากรู้ว่าคนจบด็อกเตอร์ นอกจากทำงานวิชาการแล้วจะสามารถเข้าไปช่วยในองค์กรของภาคธุรกิจได้มากน้อยแค่ไหน จึงเลือกสมัครไปทำงานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในตำแหน่ง “นักยุทธศาสตร์องค์กร” นี่คืออีกภาพหนึ่งที่ด็อกเตอร์หนุ่มต้องการพิสูจน์ตัวเองไปอีกขั้น จึงลองผันตัวเองเข้าสู่ภาคธุรกิจเอกชนดูบ้าง แต่หลังจากทำได้ไม่กี่ปี ปรากฎว่าไม่ตรงกับจริตของตัวเองซะทีเดียว เพราะมองภาพคนละแบบ จึงหันกลับเข้าสู่เส้นทางหลักที่ได้ตั้งใจไว้
แต่แล้วความตั้งใจที่จะเป็นอาจารย์ตั้งแต่วัยหนุ่มกลับถูกท้าทาย “ตอนที่อาจารย์มนตรีชักชวนให้เรียนต่อปริญญาเอก อาจารย์บอกว่าประเทศไทยยังขาดแคลนแรงงานระดับปริญญาเอกหลักหมื่นอัตรา หลังจากจบปริญญาเอก ปรากฏว่าโลกเปลี่ยน ฐานคิดเปลี่ยน เทคโนโลยีโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดสวนทางอัตราเกิดที่ลดลง ความต้องการเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาก็น้อยลง อาชีพมีความหลากหลายมากขึ้น อย่างเช่นในอดีตเด็กติดเกมส์เป็นปัญหาระดับสังคม แต่ปัจจุบันกลายเป็นอาชีพที่สามารถทำรายได้หลักแสนถึงล้านต่อเดือน คอนเทนต์ครีเอเตอร์กลายเป็นอาชีพในฝันของเด็กสมัยใหม่ ทำให้ความต้องการตำแหน่งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยลดลงตามไปด้วย”
จากเงื่อนไขที่เน้นเรื่องคุณสมบัติผู้สมัครอาจารย์ต้องมีอายุและประสบการณ์ไม่ต่ำกว่าเท่านั้นเท่านี้ปี กลายเป็นเกณฑ์ผู้สมัครอายุไม่เกินกี่ปี “ยังมีเกณฑ์ที่ต้องมีวุฒิการศึกษาจากคณะเดียวกันกับวุฒิ ป.เอก อย่างน้อย 1 ใบ ซึ่งผมจบปริญญาตรีและโทคณะบริหารธุรกิจ แต่ปริญญาเอกเป็นรัฐประศาสนศาสตร์ ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นด้านการจัดการองค์กรโดยตรงเหมือนกันแต่ใบปริญญาคนละคณะกัน เลยทำให้การสมัครอาจารย์เป็นเรื่องที่ยากมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าจะเลือกเส้นทางการเป็นอาจารย์ต่อไปน่าจะต้องกลับไปเรียนปริญญาโทด้านรัฐประศาสนศาสตร์อีกใบ” และเขายังต้องเจอกับคำถามตอนไปสัมภาษณ์ที่ว่า ทำไมถึงเพิ่งคิดมาเป็นอาจารย์เมื่ออายุได้ล่วงเลยวัย 40 มาแล้ว... “นี่คงเป็นสิ่งที่อาจารย์อุทัยเรียกเข้าพบและพยายามที่จะสื่อสารกับผมในวันนั้น”
เส้นทางด้านอาชีพของเขาอาจเบี่ยงเบนไปจากสิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่วัยหนุ่ม เลยทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นนักยุทธศาสตร์องค์กรในทุกวันนี้ นอกจากนั้น ดร.อนรรฆ ยังได้นำความรู้ความสามารถและประสบการณ์ช่วยงานคุณพันชนะ วัฒนเสถียร นายกสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ ในฐานะที่ปรึกษาสมาคมฯ ทั้งการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ของสมาคมฯ รวมถึงแผนงานโครงการต่างๆ เพื่อหาทุนสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานจิตอาสาในพื้นที่อย่างเป็นระบบ งานนี้ทำให้เขาได้ใช้ประสบการณ์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่และร่วมสร้างชุมชนเขาใหญ่ที่ยั่งยืน “คิดว่าความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของผมน่าจะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนเขาใหญ่และอำเภอปากช่องหรือโอกาสอื่นใดที่เข้ามาได้ไม่มากก็น้อย” เป็นการใช้ความเชี่ยวชาญด้านการวางแผนการจัดการเชิงพื้นที่ที่ตัวเขาเองชื่นชอบ และทำด้วยความอิสระ
8.
เมื่อถามว่าหากมีใครอยากเป็นนักวางแผนยุทธศาสตร์ต้องเป็นคนยังไงบ้าง ดร.อนรรฆบอกว่า พื้นฐานต้องเป็นคนช่างสังเกตและชอบเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ชอบวิเคราะห์ และต้องสามารถนำสิ่งทั้งหลายรอบตัวรวมถึงประสบการณ์ที่เรียนรู้มาสังเคราะห์และปรับใช้ให้ได้อย่างเหมาะสม “การเขียนแผนยุทธศาสตร์ไม่ต่างกับการแต่งเพลง มีท่อนเปิด ท่อนฮุกที่ต้องติดหูจดจำได้ง่าย และท่อนทิ้งท้าย เป็นการเรียงร้อยถ้อยคำเพื่อสื่อสารความคิดเหมือนกัน แต่ความคิดด้านแผนเป็นการถ่ายทอดการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ มีการกำหนดแผนที่ต้องอาศัยทั้งประสบการณ์และจินตนาการควบคู่กับองค์ความรู้และข้อมูลที่รอบด้าน มีแผนดำเนินการในแต่ละระดับที่ชัดเจนเชื่อมโยงกัน มีการตั้งเป้าหมายและตัวชี้วัดที่เหมาะสม การเชื่อมโยงถ้อยคำของภาษาและความสวยงามเหมาะสมของการใช้คำเป็นการขัดเกลาให้ผลงานให้งดงามยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้งานมีพลังมากยิ่งขึ้นและสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
“ต้องประมวลความรู้ทั้งหมดออกมาเป็นแนวทางที่สามารถแสวงหาโอกาส เพื่อขับเคลื่อนทั้งองค์กรให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดภายใต้ข้อจำกัดที่มี ดังนั้น ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ คุณต้องเป็นคนที่ชอบเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เป็นคนช่างสังเกต เป็นคนชอบวิเคราะห์และรับรู้ข้อมูล สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญมาก อยากเป็นนักกลยุทธ์สำคัญมากคือต้องเป็นคนช่างสังเกต มีข้อมูลและความรู้รอบด้านอยู่กับตัวเอง ต้องเรียนรู้บทเรียนจากทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว ไม่ใช่ว่ามองแต่ข้อมูลในแง่ดีเพราะทุกโอกาสมีความเสี่ยงอยู่เสมอ เรียนรู้ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมีเหตุปัจจัยจากเงื่อนไขอะไรบ้าง เพื่อแสวงหาแนวทางแก้ไขและป้องกัน และยังเป็นการต่อยอดองค์ความรู้และประสบการณ์ในการวางแผนต่อไปในอนาคต”
“นอกจากการวิเคราะห์แล้ว ต้องมีกระบวนการคิดที่เป็นระบบ เพราะการเขียนแผนและวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมของที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องทำเป็นระบบ ไม่เช่นนั้นจะยุ่งเหยิง เพราะเรากำลังจัดการกรอบทั้งหมดที่จะต้องขับเคลื่อนองค์กรทั้งองคาพยพไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนั้นต้องมีความรอบด้าน ชัดเจน ตรวจสอบข้อมูลอย่างถูกต้อง สำหรับผมการเขียนแผนที่ดีควรพิจารณาว่าสามารถตอบโจทย์ในการบรรลุเป้าหมายและสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน ซึ่งรวมถึงชุมชนและสังคมที่อยู่รอบตัวด้วย”
แม้เส้นทางจะคดเคี้ยวและเต็มไปด้วยการตัดสินใจที่ต้องแลกมาด้วยบางอย่างเสมอ แต่ทุกจังหวะของชีวิตก็ได้กลั่นกรองและหล่อหลอมชายผู้นี้ให้กลายเป็นนักวางแผนยุทธศาสตร์ที่ไม่ได้เพียงแค่เข้าใจข้อมูล แต่สามารถมองเห็นอนาคตผ่านโครงสร้างของข้อมูลเหล่านั้นได้อย่างเฉียบคมและกลั่นกรองออกมาเป็นวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล วันนี้ ดร.อนรรฆ ปิยะกาญจน์ ไม่ได้เป็นเพียงที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านแผนยุทธศาสตร์ แต่เป็นตัวอย่างของคนที่ใช้ความรักและหลงใหลในองค์ความรู้และระบบคิด สร้างเส้นทางของตนเองขึ้นมา เป็นชายที่เติบโตจากความสงสัยเล็กๆ ในวัยเด็ก สู่การเป็นผู้กำหนดทิศทางให้กับองค์กร และอาจจะรวมถึงประเทศนี้ในแบบที่น้อยคนจะมองเห็นหรือเข้าใจ.
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต