
Nature Speaks จากเขาใหญ่ถึงทรงวาด
ชวนฟังเสียงจากธรรมชาติ ผ่านผลงานปั้น 13 ศิลปินนานาชาติ
ด้วยวิถีชีวิตที่รีบเร่งอาจทำให้ผู้คนหลงลืมไปว่าความสะดวกสบายในชีวิตทุกวันนี้ เราต้องแลกมาด้วยทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล แต่เมื่อความต้องการของมนุษย์ไม่มีขีดจำกัดจนความสมดุลธรรมชาติถูกทำลาย ทำให้โลกต้องเผชิญกับวิกฤตหลายเรื่อง ทั้งภาวะโลกร้อน ฤดูกาลผิดเพี้ยน มลภาวะต่างๆ ที่ทุกชีวิตต่างได้ผลกระทบโดยไม่มีข้อยกเว้น
ในวันที่เราไม่อาจย้อนอดีตให้คืนกลับ สิ่งเดียวที่ยังพอทำได้คือการช่วยกันประคับประคอง เริ่มจากตัวเองที่แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ แต่เมื่อรวมกันหลายจุดก็กลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ได้
ในฐานะที่เป็นศิลปินที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม “ คุณไก่-ธีรศักดิ์ ธนพัฒนากุล” ผู้ก่อตั้งเบิกบานบุรี เขาใหญ่ และ “นายดี ช่างหม้อ” ศิลปินเซรามิก จึงได้ร่วมกันจัดงาน KICA-Khao Yai International Contemporary Arts เวิร์คช็อปปั้นเซรามิกกับศิลปินนานาชาติขึ้นที่ Art Residency ณ เบิกบานบุรี ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมีศิลปินจาก 10 ประเทศ รวม 13 ราย เข้าร่วมกิจกรรม
สำหรับ “เบิกบานบุรี” นอกจากเป็นพื้นที่เวิร์กช็อป ยังมีการจัดแสดงงานศิลปะเพื่อสื่อสารกับผู้คน ให้มาเฝ้าดู ฟัง สัมผัส และเข้าใจธรรมชาติแบบใกล้ชิดที่สุด ได้เรียนรู้ความงอกงามและพังทลายไปพร้อมกัน เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม
ส่วน KICA เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Nature Speaks ที่หวังให้ศิลปะเป็นสื่อกลางให้คนได้เห็นความงามของธรรมชาติ ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน ให้งานศิลปะเป็นแรงบันดาลใจ ความหวัง เกิดเป็นพลังของคนตัวเล็กให้กลับมาช่วยกันลดการทำลายธรรมชาติทั้งทางตรงและทางอ้อม
เป็นเวลากว่า 3 อาทิตย์ที่เหล่าศิลปินจากต่างภูมิภาคใช้เวลาในพื้นที่เขาใหญ่ ได้ซึมซับบรรยากาศของป่าเขาจนกระทั่งสร้างผลงานเสร็จออกมาเป็นรูปเป็นร่าง
ในวันที่ 15 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดงาน Opening day นิทรรศการศิลปะจาก 13 ศิลปินนานาชาติ โดยมีคุณเยาวณี นิรันดร และนายแพทย์วิทยา ช่อวิเชียร เจ้าของ 129 Art Museum ร่วมเปิดงานในครั้งนี้
คุณเยาวณีกล่าวว่า ได้มาที่เบิกบานบุรีเป็นครั้งแรก ไม่คาดหวังว่าจะมีสถานที่แบบนี้ในประเทศไทย เป็นที่ที่เงียบ สงบ สวยงาม เอื้อต่อการทำงานศิลปะ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าศิลปินจะประทับใจ และนำไปบอกเล่าถึงอาร์ตสเปซสวยๆ แห่งนี้ และขอแสดงความยินดีกับโครงการที่สำเร็จด้วยดี
ด้านคุณไก่-ธีรศักดิ์ เล่าว่า ศิลปินที่มาร่วมงานครั้งนี้มาจาก 10 ประเทศ ได้แก่ นอร์เวย์ ญี่ปุ่น ตุรกี สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ประเทศไทย จีน อเมริกา เกาหลี และอิตาลี ทั้งหมดเมื่อเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ก็จะแยกย้ายกันไปอยู่ตามบ้านโฮสต์ที่เป็นเพื่อนกัน ใช้เวลาดูงานนิทรรศการที่คาเฟ่เท ทรงวาด เดินสำรวจชุมชน ขึ้นเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา ชมเมืองเก่า เดินเล่นย่านเยาวราช จากนั้นก็เดินทางมาที่เขาใหญ่ โดยเราพาศิลปินขึ้นป่าที่เขาใหญ่ แล้วกลับมาทำกิจกรรมดำนาที่เบิกบานบุรี จากนั้นเริ่มทำงานโดยมีโจทย์ คือ Nature Speaks ใช้เวลาทำงานช่วงแรกประมาณ 3-4 วัน จากนั้นเราพาไปที่จีโอพาร์ก ดูพิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน ไดโนเสาร์ ช้าง แล้วต่อด้วยไปชมงานที่ด่านเกวียน ไปบ้าน อ.ทวี รัชนีกร ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) แล้ววกมาที่บ้านนายธง สตูดิโอ ที่ทำเกี่ยวกับเซรามิก จากนั้นก็กลับมาทำงานจนเสร็จเป็นชิ้นงานครบถ้วนทุกศิลปิน
“เชื่อว่าพลังของศิลปะจะเป็นสื่อกลางให้คนได้ลงมือเปลี่ยนแปลงจากตัวเอง จากเรื่องเล็กๆ ในการใช้ชีวิต เป็นพลังเล็กๆ หลายๆ พลังรวมเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ เพื่อโลกที่ยังน่าอยู่ให้กับเจนเนอเรชั่นต่อๆ ไป”
ภายในงานยังมีโชว์การเผาแบบรากุ ซึ่งเป็นเทคนิคการเผาแบบโบราณของญี่ปุ่นที่ไม่ได้หาดูง่ายๆ การเผาแบบนี้จะทำให้ผลงานมีสีสันผสมพื้นผิวลักษณะคล้ายโลหะ ถือเป็นการร่วมไม้ร่วมมือกันระหว่างศิลปินที่มาโชว์กันแบบสดๆ เรียกเสียงฮือฮาไม่น้อย
อีกหนึ่งในผลงานที่สั่นสะเทือนความรู้สึก เห็นจะเป็นงาน “Flora Ephemera” ของของ Ruth Ju หรือ Shih Li ศิลปินสาวเชื้อสายจีนจากออสเตรเลีย ที่ใช้เวลาปั้นดอกไม้จากดินนานถึง 7 วัน เมื่อถึงวันจัดแสดง รูธได้เตรียมชิ้นงานชิ้นใหญ่ให้ผู้เข้าชมได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง โดยการรดน้ำลงบนงานประติมากรรมดอกไม้อันประณีตวิจิตร
ผลงานปั้นที่ยังไม่ได้เผาเมื่อโดนน้ำราดลงไปไม่นาน ฉับพลันดอกไม้ที่สวยงามก็พังครืนลงมาต่อหน้าต่อตาทุกคน เป้าหมายของผู้สร้างผลงานชิ้นนี้เพื่อให้เราตระหนักถึงความจริงของทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนเปลี่ยนแปลง และชีวิตก็เช่นกัน
รูธกล่าวภายหลังจากที่ผลงานถล่มพังทลายต่อหน้าต่อตาผู้ชมว่า เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมาก สำหรับตนที่ได้ฝึกนั่งสมาธิมานาน ฝึกอยู่กับลมหายใจเข้าออก งานที่พังทลายลงเหมือนกับการหายใจออก ถือว่าเป็นการปลดปล่อย
“เมื่องานชิ้นนี้จบลง ฉันก็จะเก็บดินกลับมาปั้นใหม่อีก ใช้พลังงาน อารมณ์ความรู้สึกปั้นมันขึ้นมาใหม่เหมือนการหายใจเข้า และอีกครั้งเมื่อมันพังทลายลง ถือเป็นการหายใจออก ที่จริงงานนี้เสมือนเป็นการปั้นรูปเหมือนตัวเอง มันคือการเปลี่ยนแปลง เหมือนฤดูกาล หลังจากฤดูหนาวเรามีใบไม้ผลิ และสำหรับฉันมันคือการเข้าใจเรื่องความตายที่สามารถปรากฎขึ้นได้ทุกเมื่อ” รูธกล่าวถึงผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซ
คุณจารุวรรณ ธนพัฒนากุล ผู้ร่วมก่อตั้งเบิกบานบุรี กล่าวถึงงานของรูธว่า งานชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่า บนความมั่นคง ก็คือความไม่มั่นคง สอนให้เรามีความสุข และอยู่กับปัจจุบันขณะ อย่างรูธเขาไม่ได้มองที่ปลายทางที่งานนี้ต้องคงทนถาวร แต่ความสุขของเขาอยู่ระหว่างการทำงาน ใส่ใจทุกโมเมนต์ขณะอยู่กับชิ้นงาน งานนี้เป็นการปลดปล่อยความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากที่พาร์ทเนอร์ และพ่อของรูธเสียชีวิต พี่ชายเป็นมะเร็ง ซึ่งรูธต้องใช้เวลาดูแลพวกเขา
“ผลงานชิ้นนี้ รูธเรียนรู้จากความบังเอิญจากการปั้นงานแล้วไม่มีเตาเผา แล้วเอาไปวางไว้ในสวน บังเอิญฝนตกลงมาทำให้งานพังทลาย รูธก็ได้พบว่านั่นคือการปลดปล่อย นี่เป็นจุดหนึ่งที่รูธใช้งานนี้เป็นการฝึกสมาธิ”
ส่วนผลงานอื่นๆ คุณไก่-ธีรศักดิ์ ทำหน้าที่เป็นไกด์พาเดินชม ไล่จากงานของคุณไก่เอง ที่มีชื่องานว่าทุ่งกุลา No cry โดยจะแบ่งงานเป็น 2 ส่วน ส่วนทุ่งกุลาร้องไห้ที่แห้งแล้ง และส่วนที่อุดมสมบูรณ์ มีทั้งปูนา แมลงปอ ฝนตก ผลงานชิ้นนี้ตั้งใจจะบอกว่าหากเราไม่ดูแลธรรมชาติให้ดี เราอาจต้องย้อนกลับไปเผชิญกับทุ่งกุลาร้องไห้ในสภาพแห้งแล้งอีกก็เป็นได้
หรืองานของคุณดั๊ก Dag Bratbergsengen จากนอร์เวย์ เป็นเชิงสัญลักษณ์แสดงถึงทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกัน งานคุณไบรอัน จากมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ที่ได้แทรกลวดลายวัฒนธรรมไทยเข้าไปด้วย ขณะที่งานคุณซิลเวีย Silvia Ranchicchio จากอิตาลี ที่จะพูดถึงความสมดุลทางธรรมชาติ เป็นต้น
ยังมีชิ้นงานที่น่าสนใจอีกหลายชิ้นที่ควรค่าแก่การได้มาชม สำหรับใครที่สนใจสามารถไปชมกันต่อได้ที่ Tay Songwat ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม – 30 กันยายน 2568
ในวันที่ธรรมชาติเสื่อมทรุดลงทุกวัน งานนิทรรศการ KICA จึงเป็นตัวแทนจากธรรมชาติในการเคลื่อนมาหาผู้คนในเมือง เพื่อมาบอกเล่า สร้างแรงบันดาลใจ ส่งต่อความรัก ความหวัง จุดประกายให้ทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือทำให้โลกนี้ยังน่าอยู่สำหรับลูกหลานของเราต่อไป
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต