
หนึ่งวันดีๆ ที่ “Khao Yai Art Forest”
ให้ศิลปะในป่าช่วยประโลมใจ
เคยเห็นผ่านตาตามสื่อมาบ้าง ภาพของเจ้าแมงมุมยักษ์ “มามอง” (Maman) ประติมากรรมชิ้นเขื่องที่ยืนตระหง่านอยู่กลางแปลงนา ผลงานอันโด่งดังของ “หลุยส์ บูร์ชัวส์” (Louise Bourgeois) ศิลปินชาวฝรั่งเศส-อเมริกัน ผู้ล่วงลับ ก็ว่าน่าทึ่งแล้ว ยิ่งได้มีโอกาสมาพบเห็นกับตาตัวเองที่ Khao Yai Art Forest ก็ยิ่งตกตะลึงเป็นทวีคูณ ทั้งรูปลักษณ์ที่น่าเกรงขาม ขนาดที่มหึมา บวกกับแข้งขาเก้งก้างสูงเกือบ 10 เมตรที่กางปักหลักหนักแน่นกับพื้น ดูเข้ากันดีกับบรรยากาศโดยรอบอย่างน่าประหลาด
สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก “Khao Yai Art Forest” ที่นี่คือ “ศิลป่า” เป็นสถาบันศิลปะที่เปิดให้บริการเข้าชมมาแล้วกว่า 1 ปี เป็นที่จัดแสดงศิลปะที่แหวกขนบเดิม จากในแกลเลอรี่หรูมาตั้งอยู่กลางป่าเขาลำเนาไพร ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่แข็งแรงอย่าง “Healing การฟื้นฟูเยียวยาจิตใจ”
จุดเริ่มต้นของ Khao Yai Art Forest มาจากความตั้งใจของคุณมาริษา เจียรวนนท์ ผู้ก่อตั้ง ที่อยากจะนำ 2 สิ่ง คือ “ศิลปะ” และ “ธรรมชาติ” มาบรรจบกัน โดยได้ Artistic Director มือทอง “Stefano Rabolli Pansera” มาช่วยประกอบภาพให้กลายเป็นจริง กลายเป็น “ศิลป่า” สถาบันศิลปะที่ทันสมัยแปลกใหม่ขึ้นในพื้นที่ตำบลโป่งตาลอง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
พื้นที่การจัดแสดงจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของนิทรรศการหมุนเวียน ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “มามอง” ประติมากรรมแมงมุมยักษ์ ส่วนนี้สามารถเข้ามาชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย และส่วนของ Art Forest เป็นที่ตั้งนิทรรศการถาวร ส่วนนี้ต้องซื้อตั๋วเข้าชมในราคา 500 บาท/คน
นับเป็นโชคดีของทีม Khaoyai Connect ที่ได้บัณฑิตศิลปะสาวไฟแรง “โว้ค - รัชสิรี รัตนวาร” ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ Khao Yai Art Forest มาเป็นไกด์พาพวกเราเดินชมงานศิลปะที่ซุกซ่อนอยู่ตามเส้นทางในป่าอย่างทั่วถึงตลอดทั้งวัน
Maman แมงมุมยักษ์ สายใยแม่-ลูก
ไฮไลท์แรกพลาดไม่ได้เด็ดขาด เจ้าแมงมุมยักษ์ “มามอง” (Maman) ภาษาฝรั่งเศสแปลว่า “แม่” มามองเป็นผลงานช่วงบั้นปลายชีวิตของ “หลุยส์ บูร์ชัวส์” สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับผู้เป็นแม่ ตัวแมงมุมทำจากสแตนเลส และบรอนซ์ ภายในลำตัวมีไข่ที่ทำจากหินอ่อน 20 ลูก ผลงานชิ้นนี้ถือเป็นการเปิดเปลือยชีวิตส่วนตัวแบบหมดเปลือก จึงสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความรู้สึกคนดูอย่างมาก
ฉากหน้าของแมงมุมยักษ์ที่ดูน่าเกรงขามนั้น ฉากหลังกลับเต็มไปด้วยเรื่องราวส่วนตัวของบูร์ชัวส์มีต่อแม่ที่เป็นช่างซ่อมพรมและช่างทอโบราณ แม่ที่คอยปกป้องแต่ก็น่ากลัวในบางครั้ง แม่จึงมีคุณสมบัติดุจแมงมุมที่คล้ายสัตว์ประหลาด แต่ก็คอยถักทอใยโอบอุ้มดูแล และสร้างใหม่ได้ทุกครั้งแม้ว่าจะถูกทำลาย เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่สมบูรณ์แบบแต่งดงาม
“ตอนนี้เราอยู่ในพื้นที่ Flat Area เป็นพื้นที่ที่แสดงผลงาน “มามอง”โดยมีแปลงนาล้อมรอบ โซนนี้ทุกคนสามารถเข้าชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะคุณสเตฟาโน่ที่เป็นอาร์ตทิสติก ไดเรคเตอร์ของที่นี่อยากจะแชร์แบ่งปันสิ่งเหล่านี้ให้คนไทยได้ชม เพราะผลงานแมงมุมนี้สร้างมา 25 ปีแล้ว ตั้งแต่ ค.ศ.1999 แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาจัดแสดงที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แล้ว “มามอง” ส่วนใหญ่จะถูกจัดวางไว้ในเมือง แต่เราก็ท้าทายประมาณหนึ่งพาเขามาแสดงกลางแปลงนาที่ล้อมรอบด้วยภูเขาของเขาใหญ่”โว้ค ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ ขยายความเพิ่มเติมขณะเดินชม
สำหรับผลงาน “มามอง” เป็นนิทรรศการหมุนเวียนที่นำมาตั้งเกือบ 1 ปีแล้ว และใกล้จะครบสัญญาส่งคืนมูลนิธิ The Easton Foundation นิวยอร์ก ที่เป็นผู้ดูแลผลงาน โดยในวันที่ 17 สิงหาคมที่จะถึงนี้ Khao Yai Art Forest เตรียมจัดงานอำลาเจ้าแมงมุมยักษ์อย่างเป็นทางการ ใครที่ยังไม่ได้ดูคงต้องรีบหน่อย เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่งานศิลปะระดับโลกจะมาตั้งให้ชมใกล้แค่เอื้อมแบบนี้!
ชื่นชนจนเต็มอิ่มแล้วพวกเราผละจากมามองเพื่อไปดูงานศิลปะถาวรในเขตของ Art Forest โดยมีหญิงสาวอ่อนวัยมาดสุขุมเจ้าของพื้นที่เดินมาด้วยกัน
จุดที่ 1 เป็นงานของ “อารยา ราษฎร์จำเริญสุข” ชื่อผลงาน Two Planets ในรูปแบบของ Video installation
ผลงานชิ้นนี้เป็นการนำสองวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงมาปะทะกัน ด้วยการจำลองงานศิลปะของศิลปินระดับโลกที่จัดแสดงอยู่ในมิวเซียมหรูมาตั้งให้ชาวบ้านท้องถิ่นที่เป็นเกษตรกรมารวมกลุ่มนั่งดูท่ามกลางบรรยากาศท้องไร่ท้องนา แล้วให้วิพากษ์วิจารณ์งานที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความแปลกประหลาดที่ไม่มีทางเป็นไปได้ในโลกความเป็นจริง จนเกิดความรู้สึกที่หลากหลายปะปนกัน โดยเรื่องราวในวิดีโอนี้จะมีด้วยกัน 4 ชุด ในบริบทคล้ายๆ กันเปลี่ยนเพียงภาพวาด กลุ่มเกษตรกรและพื้นที่ ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์งานศิลปะของบรรดาลุงป้าทั้งหลายก็จะแตกต่างกันไปตามการรับรู้ ความเข้าใจ และวัฒนธรรมของตนเอง
ตัวศิลปิน “อารยา ราษฎร์จำเริญสุข” เกิดและเติบโตที่จังหวัดตราด ถือเป็นหนึ่งในศิลปินร่วมสมัยที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในประเทศไทย ผลงานของเธอสะท้อนแนวคิดที่ท้าทาย และลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิต ความตาย อัตลักษณ์ และจารีตประเพณี ก่อนหน้านี้อารยาได้ท้าทายข้อห้ามทางสังคมเกี่ยวกับความตายและพิธีกรรมด้วยงาน Reading for Corpses (2545-2548) เป็นการยืนอ่านบทกวีโดยที่ด้านหน้ามีศพที่คลุมด้วยผ้าขาว เป็นการใคร่ครวญถึงความเป็นมนุษย์ และความไม่จีรังของชีวิต
จุดที่ 2 GOD ผลงานของฟรานเชสโก อารีนา
ภาพตรงหน้า คือ ก้อนหินขนาดยักษ์ 2 ก้อนวางซ้อนทับกันเป็นแนวดิ่ง ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าสักที่ต้นสูงชะลูดยืนตรงขึ้นฟ้าเป็นแนวเดียวกัน ด้วยขนาดใหญ่ของก้อนหินเราสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ส่งผลให้จิตใจว้าวุ่นสงบลงได้ชั่วขณะ แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่มนุษย์ให้ความเคารพมาตั้งแต่อดีต
หินปูนชิ้นนี้ศิลปินไปคัดด้วยตัวเองจากจังหวัดกาญจนบุรี แล้วนำมาตัดออกเป็น 2 ก้อนมาประกบกัน โดยสลักใต้หินแผ่นหนึ่งด้วยตัว G และ D แล้วสลักหินอีกก้อนเป็นตัว O เมื่อวางประกบกันจะได้คำว่า GOD อยู่ด้านใต้หิน ซึ่งคนดูจะมองไม่เห็น เปรียบได้กับความเชื่อของมนุษย์ที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ แต่ก็ดำรงอยู่เสมอ
สำหรับฟรานเชสโก เป็นศิลปินชาวอิตาเลียน ผลงานหลายชิ้นมักได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ทางการเมือง และสังคมตลอดจนประวัติศาสตร์ส่วนบุคคลและส่วนรวม สร้างสรรค์ผ่านงานประติมากรรมแบบมินิมอลและศิลปะจัดวางที่มักใช้วัสดุ เช่น หิน โลหะ และไม้ เพื่อนําเสนอประเด็นเกี่ยวกับการไม่ปรากฏ กาลเวลา และประสบการณ์ของมนุษย์
จุดที่ 3 ผลงานของศิลปินชาวไทย “อุบัติสัตย์/ Ubatsat” ชื่อผลงาน Pilgrimage to Eternity (พ.ศ.2567)
ผลงานชุดนี้มีทั้งหมด 9 ชิ้น เป็นส่วนต่างๆ ของแม่พิมพ์ของเจดีย์ ที่เป็นศาสตร์การสร้างแบบโบราณที่ได้รับการสืบทอดมารุ่นต่อรุ่นในครอบครัวของอุบัติสัตย์ โดยชิ้นส่วนต่างๆ จะถูกวางไว้ตามเส้นทางในป่า ซึ่งชิ้นแรกที่เห็นจะเป็นส่วนฐานของเจดีย์ ส่วนชิ้นอื่นๆ จะวางไล่ระดับจากพื้นที่ต่ำไปสูงจนถึงยอดเจดีย์ คล้ายกับการเดินจาริกแสวงบุญไปในป่า และทุกชิ้นจะถูกวางไว้บนเนินดินคล้ายกับถูกทิ้งร้างเป็นเศษซากปรักหักพัง มีมอสเกาะเป็นหย่อม เปรียบได้กับความไม่จีรังของชีวิต ที่ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนหนีไม่พ้นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
อุบัติสัตย์ เกิดที่กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2523 จบการศึกษาระดับปริญญาตรีภาควิชาทัศนศิลป์ และปริญญาโทภาควิชา ปรัชญาและศาสนา จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นศิลปินที่เป็นนักกิจกรรมสังคม มักจะเน้นการมีส่วนร่วมกับชุมชน เช่น เกษตรกร ช่างฝีมือ นักดนตรี พ่อครัว และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผลงานอุบัติสัตย์ประกอบไปด้วยสื่อ ศิลปะหลายแขนง เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ และผลงานศิลปะเฉพาะพื้นที่
จุดที่ 4 K-BAR โดย Elmgreen & Dragset (เอล์มกรีน แอนด์ แดร็กเซต)
เป็นความรู้สึกประหลาดอยู่ไม่น้อยที่ได้เห็นบาร์ค็อกเทลหลังกะทัดรัดมาหมกตัวอยู่ในดงพงไพร ทางเดินมีต้นหญ้าสูงท่วมเอว ส่องดูภายในตกแต่งอย่างมีสไตล์ให้บรรยากาศบาร์ชิคๆ ในเมือง เรียงรายไปด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สารพัดชนิด เคาน์เตอร์บาร์ทำจากสแตนเลสส่องเงาวับตัดกับวัสดุไม้สีเข้ม เก้าอี้นั่งสีแดง พื้นเป็นหินขัด บนผนังแขวนภาพเพนติ้งของ Martin Kippenberger ศิลปินชาวเยอรมัน
K-BAR เป็นศิลปะจัดวาง ผลงานของคู่หูชาวสแกนดิเนเวีย เอล์มกรีน แอนด์ แดร็กเซต พวกเขาสร้างอุทิศให้กับ Martin Kippenberger ศิลปินชาวเยอรมัน ที่เสียชีวิตจากมะเร็งตับ ซึ่งเป็นผลจากการดื่มหนักของเขาเช่นกัน จึงเป็นความตลกร้ายตามสไตล์ของศิลปินที่ผลงานมักจะผสมผสานอารมณ์ขันอยู่ในนั้นด้วย
ความน่าสนใจอยู่ที่ K-BAR เปิดให้บริการจริงเดือนละ 1 ครั้ง ทุกวันเสาร์ที่ 2 ของเดือน เข้าได้ครั้งละ 6 คน โดยศิลปินเป็นผู้ออกแบบร่วมกับบาร์เทนเดอร์จาก KU BAR ซึ่งเป็นบาร์ที่อยู่กรุงเทพฯ ในช่วงแรกนี้เก็บค่าเข้าคนละ 1,000 บาท นั่งได้รอบละ 45 นาที ถือเป็นห้วงเวลาที่ควรค่าแก่การมาละเลียดค็อกเทลพร้อมกับชมงานศิลปะที่น่าหลงใหลไปในตัว
เอล์มกรีนและแดร็กเซต เป็นชื่อในวงการศิลปะของศิลปินคู่หูชาวสแกนดิเนเวีย ไมเคิล เอล์มกรีน ชาวเดนมาร์ก และ อินการ์ แดร็กเซต ชาวนอร์เวย์ ทั้งสองทำงานร่วมกันตั้งแต่ พ.ศ.2538 และเป็นที่รู้จักจากศิลปะแนวคอนเซ็ปต์ชวล และ ศิลปะแบบจัดวางที่ผสมผสานอารมณ์ขัน การวิพากษ์วิจารณ์สังคม และความละเอียดอ่อนทางศิลปะ ผลงานของพวกเขามักตั้งคำถามกับขนบของพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนบุคคลพร้อมกับสะท้อนประเด็นเกี่ยวกับอัตลักษณ์โครงสร้างอำนาจและบรรทัดฐานทางวัฒนธรรม หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดของพวกเขา คือ PradaMarfa (2548) ซึ่งเป็นศิลปะจัดวางถาวรในทะเลทรายเท็กซัส ลักษณะคล้ายร้านบูติกของ Prada แต่ไม่สามารถเข้าไปใช้งานได้ ผลงานนี้เป็นการวิพากษ์วัฒนธรรมบริโภคนิยม และการทำให้ศิลปะกลายเป็นสินค้า
จุดที่ 5 Madrid Circle โดย Richard Long
ริชาร์ด ลอง ศิลปินชาวอังกฤษ เกิด พ.ศ.2488 โด่งดังและรู้จักกันในแวดวงศิลปะแบบแลนด์อาร์ต ผลงานชิ้นนี้เป็นการจัดเรียงหินเป็นรูปทรงวงแหวน สะท้อนความต่อเนื่องและสมดุล เปรียบได้กับพื้นที่ศิลป่าที่เชื่อมโยงศิลปะกับธรรมชาติเข้าด้วยกัน
งานชิ้นนี้ได้รับการติดตั้งไว้ในจุดสูงที่สุดของเส้นทาง เราสามารถชมงานศิลปะในทิวทัศน์ท้องฟ้าและป่าเขาในเวลาเดียวกัน เป็นโอกาสเหมาะที่เราจะได้อยู่กับตัวเองเพื่อใคร่ครวญถึงโมงยามที่ผ่านมา
โว้ค อธิบายเพิ่มเติมเรื่องการติดตั้งงานว่า ผลงานชุดนี้เป็นงานที่คุณมาริษาเก็บสะสมไว้ เป็นส่วนหนึ่งของ Panza collection ใน ค.ศ.1988 ซึ่งเป็นคอลเล็คชั่นที่สำคัญในโลกศิลปะ เรานำมาติดตั้งใหม่ที่นี่ เป็นการทำทีละแผ่นเรียงกันจนครบสมบูรณ์
จุดที่ 6 Fog Landscape #48435 โดย ฟูจิโกะ นากายะ
ผลงานแลนด์อาร์ต “ประติมากรรมหมอก” นี้ ฟูจิโกะได้รับแรงบันดาลใจจากผู้เป็นพ่อ ผู้สร้างเกล็ดหิมะประดิษฐ์ชิ้นแรกของโลก เป็นไฮไลท์ที่สร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าชมอย่างมาก เพราะเป็นงานศิลปะที่นำวิทยาศาตร์เทคโนโลยี และธรรมชาติเข้ามาทำให้เกิดผลงานประติมากรรมหมอกที่น่าทึ่ง
โดยเวลาแสดงประติมากรรมหมอก สำหรับวันเสาร์-อาทิตย์ จะเปิด 2 เวลา คือ 11.30 น. และ 16.30 น. ส่วนวันพฤหัส-ศุกร์ จะเปิดเวลาเดียว 16.30 น.
ทันทีที่เปิดเครื่องสร้างหมอกด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่จะกรองอนุภาคในอากาศควบแน่นจนกลายเป็นไอน้ำ สายหมอกที่ละเอียดจะพวยพุ่งออกมาแล้วไหลไปตามเนินและหุบเขาที่สูงต่ำลดหลั่นกันเป็นแนว ซึ่งได้รับการออกแบบด้านภูมิสถาปัตย์ร่วมกันกับสถาปนิกชาวญี่ปุ่น สร้างความสนุกตื่นเต้นให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก แต่ตื่นเต้นเพียงชั่วขณะหมอกก็จางหายไปในที่สุด เพื่อจะบอกว่าทุกอย่างไม่จีรัง เป็นสัจธรรมอันจริงแท้อีกเช่นกัน
โว้ค บอกว่า พื้นที่จัดแสดงประติมากรรมหมอกเดิมเป็นไร่มันสำปะหลัง นำมาพัฒนาออกแบบให้กลายเป็นสโลปสูงต่ำ เป็นวิสัยทัศน์ของศิลปินที่ต้องการให้หมอกไหลมาบรรจบกันตรงกลาง การแสดงงานแต่ละครั้งอาจจะมีความแตกต่างบ้าง ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของวันนั้น หากเป็นตอนกลางวัน อุณหภูมิสูง ความชื้นน้อย มีลมมาก หมอกก็จะปลิวขึ้นด้านบนและอยู่กับเราไม่นาน แต่ถ้าเป็นตอนเย็นที่ความชื้นสูง หมอกจะลอยอ้อยอิ่งและอยู่ต่ำ และความพิเศษคือหมอกเราทำจากน้ำสะอาดที่เป็นน้ำดื่มได้
“มองว่าอีกหน้าที่หนึ่งของงานศิลปะ คือ การสร้างปรากฎการณ์ที่เราไม่สามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน แล้วมันทำให้เราตระหนักถึงอะไรบางอย่างที่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคน แล้วอาร์ตวันนี้ก็ไม่ใช่แค่อาร์ตเพียวๆ แต่มันอาจจะไปจับคู่กับวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ได้หมดทุกอย่าง เป็นการสะท้อนภาพปัจจุบันออกมา”
จุดกำเนิดศิลป่า
สำหรับคอนเซ็ปต์ของศิลปะกับธรรมชาติ โว้ค เล่าว่า ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงโควิดใหม่ๆ เขาใหญ่เป็นอีกไม่กี่พื้นที่ในประเทศไทยที่ผู้คนได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก เมื่อคุณมาริษาได้มาเจอก็เหมือนกับการได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติอีกครั้ง เป็นจุดเริ่มต้นที่อยากแบ่งปันประสบการณ์ให้กับทุกคนด้วยคอนเซ็ปต์การ Healing เยียวยา ฟื้นฟู ได้อยู่ในพื้นที่ธรรมชาติ มาเจอกับประสบการณ์แปลกใหม่ที่ไม่ได้พบเจอในชีวิตประจำวันมากนัก
ส่วนงานที่นำมาแสดงต้องเป็นการที่จัดแสดงกลางแจ้งได้ ส่วนใหญ่จะเป็นงานที่เชิญศิลปินมาทำงานกับพื้นที่ เน้นใช้วัสดุท้องถิ่นที่หาได้ในเขาใหญ่ และ สถาบันศิลปะในที่นี้ไม่ได้แค่เชิญศิลปินมาสร้างผลงาน หรือจัดแสดงงานเท่านั้น แต่ยังมีโปรแกรม Artist residency คล้ายเป็นโครงการแลกเปลี่ยนโดยเชิญศิลปินจากต่างประเทศมาพำนักที่นี่ ทำงานร่วมกับทีม Khao Yai Art Forest และใช้วัสดุท้องถิ่นที่หาได้ที่นี่เพื่อสร้างเป็นงานศิลปะ ขณะเดียวกันก็ส่งศิลปินไทยโดยเฉพาะรุ่นเยาว์ไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศด้วย
“ในพื้นที่เรายังทำงานร่วมกับชุมชนด้วย เรามีกิจกรรมพานักเรียนในพื้นที่ได้มาดู เราชวนน้องๆ โรงเรียนหมูสีมาดู เด็กๆ ชอบมาก วิ่งในหมอกกัน ทุกปีมีกิจกรรมไปสร้างโรงเรียนสร้างห้องน้ำ มอบอุปกรณ์ต่างๆ ให้เด็ก ตอนนี้ก็ทำเรื่องโรงเรียน เพราะคุณมาริษาให้ความสำคัญการศึกษา และเรายังมีการแลกเปลี่ยนโนฮาวกับเกษตรกรที่มีความรู้เฉพาะในการดูแลต้นไม้ เราพยายามสร้างให้ชุมชนแข็งแรง เกิดความยั่งยืนในระยะยาว”
ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ผู้ซึมซับพื้นที่ศิลป่ามากว่า 1 ปี บอกอีกว่า ที่นี่เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น ถือเป็นสัญญาณที่ดี มีทั้งชาวไทยและต่างชาติ หลายคนตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะ ทำให้พื้นที่เขาใหญ่มีสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกที่ เมื่อคนมาท่องเที่ยวก็จะเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนอีกทางหนึ่ง
กว่า 3 ชั่วโมงในการละเลียดเดินดูงานศิลปะ เป็นวันที่ค่อยๆ ได้พิจารณาสิ่งที่อยู่ตรงหน้า อยู่กับปัจจุบันขณะ ชมงานศิลปะและย่างเท้าก้าวเดิน เพียงเท่านี้พลังชีวิตที่หดหายไปในแต่ละวันก็ไหลคืนกลับสู่ตัวเองอีกครั้ง
รายละเอียดการเข้าชม
เปิดให้บริการ วันพฤหัส-ศุกร์เปิด 12.30-18.00 น. เสาร์ อาทิตย์ 10.00-18.00 น. ปิด จันทร์-พุธ บุคคลทั่วไป 500 บาท นักเรียน นักศึกษา ผู้สูงอายุ ลด 50% นอกจากนี้ยังมีราคาแพ็คเกจรวมอาหารกลางวัน 1,000 บาท แพ็คเกจอาหารเย็น 1,500 บาท
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ https://www.khaoyaiart.com/
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต