
สีคิ้วสู่เมืองท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ
ความร่วมมือ NIDA ชุมชน และภาคธุรกิจ
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) จัดงานสัมมนาเผยแพร่แผนงานวิจัย Low Carbon High Future เส้นทางการท่องเที่ยวสู่ระบบนิเวศใหม่เพื่อสังคมยั่งยืน ที่ห้องชมพูภูคา ศูนย์อนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสี ภายในงานมีกลุ่มชาวบ้านจากตำบลคลองไผ่ และ ตำบลหนองหญ้าขาว เข้าร่วมงานสัมมนา โดยมี นายชนม์บันลือ วรรธนพันธุ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครราชีมา กล่าวเปิดงาน
นายชนม์บันลือ กล่าวว่า สีคิ้วเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เป็นโลว์คาร์บอนอย่างแท้จริง เพราะมีการใช้พลังงานสะอาดแทนพลังงานฟอสซิล ขณะที่ชุมชนก็มีโครงการท่องเที่ยวสีเขียวที่จับต้องได้ เป็นส่วนหนึ่งของโมเดล BCG(Bio Economy Circular Economy Green Economy) ที่นำมาประยุกต์แบบบ้านๆ เช่น ปลูกผักปลอดสาร ใช้ปุ๋ยหมักจากขยะอาหาร สามารถนำผลผลิตมาเลี้ยงชุมชนและนักท่องเที่ยว การแยกขยะ และ พึ่งพาผลผลิตในชุมชนด้วยกัน ลดการเผา ปลูกต้นไม้ในชุมชน ซึ่งทั้งหมดนี้จะพาเราไปสู่การเป็นเมืองโลว์คาร์บอน และจะสามารถทำเรื่องท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน โดยเราตั้งเป้ามาคนที่มาเที่ยวสีคิ้วต้องมาทำกิจกรรม 4 อย่าง คือ มาเที่ยว มากิน มานอน และมาซื้อของ ขณะเดียวกันเมืองเราก็ต้องมีความสะดวก สะอาด ปลอดภัย ได้อัตลักษณ์ พร้อมเป็นเจ้าภาพที่ดี มีความยั่งยืน และ สินค้าราคาเป็นธรรมด้วย
ด้าน รศ.ดร.พัทรียา หลักเพ็ชร หัวหน้าโครงการย่อยที่ 1 ผู้อำนวยการสำนักวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวถึงหัวข้อ “ร่วมสร้างห่วงโซ่ เติมพลังชุมชนที่ทรงพลัง” ว่า สีคิ้วมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย แต่การจะก้าวสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวโลว์คาร์บอนจะไม่ใช่กิจกรรมแบบแยกเดี่ยว แต่ต้องพัฒนาทั้งห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยวสีเขียว เชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เข้ากับการผลิต การบริการและการบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้กิจกรรมทั้งหมดต้องเชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งระบบ ได้แก่ ชุมชน สถาบันการศึกษา ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และ นักท่องเที่ยว ซึ่งหากทำได้จะช่วยพลิกโอกาสให้สีคิ้วเดินหน้าสู่ความยั่งยืน ที่สำคัญไม่มีใครทำได้เพียงคนเดียว ชุมชนต้องเปิดใจ และ ชักชวนทุกคนเข้ามาร่วมกันสร้างห่วงโซ่ เพื่อที่จะทำให้ชุมชนเป็นเมืองท่องเที่ยวโลว์คาร์บอนอย่างแท้จริง
รศ.ดร.จุฑารัตน์ ชมพันธุ์ หัวหน้าโครงการย่อยที่ 2 รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวถึงห้วข้อ “การออกแบบเมืองสีเขียว ก้าวสู่สีคิ้วคาร์บอนต่ำ for all”ว่า การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำมีคีย์เวิร์ด 2 คำ คือ ลด และ ปรับตัว ลดก็คือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุสำคัญของโลกร้อน เช่น ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พลังงานหมุนเวียน ส่งเสริมพลังงานสะอาด มีระบบคมนาคมที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น จักรยาน การเดินเท้า การจัดการขยะและน้ำเสียอย่างยั่งยืน การออกแบบเมืองสีเขียวและพื้นสาธารณะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ส่วนปรับตัว จะเป็นเรื่องของการจัดการ การท่องเที่ยว ประชาชนต้องมีส่วนร่วมช่วยกันสร้างให้เกิดเป็นวัฒนธรรมแบบยั่งยืน
ผศ.ดร.วรรษิดา บุญญาณเมธาพร ผู้อำนวยการแผน รองคณบดีฝ่ายวางแผน ประกันคุณภาพและบริการวิชาการ คณะการจัดการการท่องเที่ยว สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวว่า ยินดีที่ได้มาพบปะผู้ที่ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวสีเขียวเป็นการร่วมมือระหว่างนักวิจัย นักธุรกิจ ภาครัฐ และ ชุมชน เพื่อพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวแบบโลว์คาร์บอน ให้สอดคล้องกับบริบทของอำเภอสีคิ้ว โดยเน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนทุกช่วงวัย และต่อยอดไปสู่ธุรกิจเพื่อสังคมซึ่งจะเป็นความยั่งยืนของชุมชนสีคิ้วในอนาคต
นอกจากนี้ยังมีเวทีเสวนา เรียนรู้ตลอดชีวิตในเมืองคาร์บอนต่ำ : เชื่อมห่วงโซ่คุณค่ากับพลังธุรกิจเพื่อสังคม
คุณอรวรรณ กอบวิทยา รองประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานจังหวัดนครราชสีมา ด้านยุทธศาสตร์ชุมชน กรรมการบริหารอุทยานธานีโคราช อุปนายกสมาคมการท่องเที่ยวและบริการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า จากประสบการณ์การทำงานพื้นที่ก่อสร้างกฟผ. เราพบว่าการพัฒนาอะไรหากคนไม่เข้าใจก็ไม่สามารถจะผลักดันให้เกิดขึ้นได้ ในวันนี้เมื่อมาเป็นภาคประชาชน การพัฒนาคนนั้นสำคัญมาก เป็นสิ่งที่อยากจะฝากสถาบันการศึกษาว่าวันนี้สีคิ้วเราคือชุมชนที่พร้อมจะรับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาแล้ว พร้อมจะเชื่อมโยงกับทุกภาคีเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา ท้องถิ่น เทศบาล เพื่อการเดินไปสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวโลว์คาร์บอน
“เรื่องท่องเที่ยวโลว์คาร์บอน เรามีโมเดลระดับหนึ่ง คือ เขาจันทร์งาม รวมถึงเขายายเที่ยง เรายังทำได้ในวิถีชุมชนที่ไม่ได้เติมอะไรเข้ามามากนัก เพราะเพิ่งเป็นการเริ่มต้น หากเราจะเอามาตรฐานที่เคร่งครัดไปจับชุมชนอาจจะถอยก่อน แต่เชื่อว่าสีคิ้วไปได้แน่นอน”
คุณพันชนะ วัฒนเสถียร ผู้ก่อตั้งร้านเป็นลาว และ นายกสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ กล่าวว่า เนื่องจากตนเองเคยเป็นนักกฎหมายมาก่อน แล้วเคยทำมูลนิธิอมตะ เกือบ 20 ปี ส่วนมากเกี่ยวข้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ตอนมาทำร้านเป็นลาวสมัยนั้นมีการพูดถึงสังคมสูงอายุ เรื่องโรบอทที่จะมาแทนแรงงาน ปัญหาเด็กท้องก่อนวัยอันควร เราเลยคิดถึงธุรกิจที่จะสร้างงานให้คนแก่เด็ก และตัวเองตอนแก่ จึงตัดสินใจเลือกทำธุรกิจร้านอาหารเพื่อตอบโจทย์เรื่องการจ้างงานในชุมชน เรานำ Social pain มาเป็น social gain เป็นการสร้างนวัตกรรมเชิงสังคมให้กับชุมชนที่เราอาศัยอยู่ได้มีความสุข
“ถามว่าจะให้ภาคีเครือข่ายเดินร่วมเส้นทางนี้ยังไง ก็ง่ายมาก เราจะบอกเสมอว่าถ้าเขาใหญ่ถูกปลดจากการเป็นมรดกโลก นั่นหมายถึงสิ่งแวดล้อมกำลังจะพังพินาศ นั่นหมายถึงการลงทุนทั้งหมดในเขาใหญ่ก็จะพังพินาศเช่นกัน ดังนั้น เรื่องหัวใจสีเขียวจึงมีสำคัญ อุณหภูมิโลกจะลดลงหรือไม่อยู่ที่เรา ลองคิดดูว่าถ้าเราเปิดบ้านแล้วไม่มีใครมาเราก็อยู่ไม่ได้ เพราะเรากลัวว่าบ้านเราจะยับเยินมากกว่ายั่งยืน เราจึงทำทุกอย่างที่ต้องทำ และ ผู้ประกอบการก็ต้องมาช่วยกัน”
คุณดนุนันท์ ไชยทุม ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 (โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา) กล่าวว่า เราอยู่คู่กับชุมชนมาตั้งแต่ปี 2537 สิ่งที่ทำตอนแรกคือการทำซีเอสอาร์ ดูแลป่ากว่า 2 พันไร่ แต่จุดเปลี่ยนในการพัฒนาพื้นที่คือ เรากล้านำพื้นที่ของหน่วยงานมาให้ชุมชนใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เกิดเป็นมิติท่องเที่ยวใหม่ เดิมทีโครงการกังหันลมก็ได้แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่พอกล้าให้ชุมชนเข้าไป สิ่งที่ได้นอกจากกฟฝ.ได้ไฟ ชาวบ้านยังได้เงิน จากนั้นก็เริ่มทำที่จอดรถ ห้องน้ำ ทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีจุดชมวิว กิจกรรมปั่นจักรยาน มีรถกอล์ฟสำหรับผู้พิการ ผู้สูงวัย เกิดเป็นร้านค้าชุมชน มีรถสองแถวนำเที่ยว มีไกด์รุ่นจิ๋ว ทำให้ชุมชนมีรายได้อยู่ดีกินดี เป็นการท่องเที่ยวโลว์คาร์บอนที่เป็นโมเดลเอื้อต่อชุมชนอย่างแท้จริง
“ตอนนี้เรากำลังจะมีนโยบายกรีนนำที่ลำตะคอง เราจะมีพลังงานสะอาด ไม่ว่าจะเป็นพลังงานน้ำ ลม แสงแดด เพื่อจะเป็นต้นแบบให้กับหน่วยงานอื่นๆ เป็นการลดการปล่อยคาร์บอน ควบคู่ไปกับการพัฒนาชุมชน จะพยายามยกระดับท่องเที่ยวชุมชน รองรับคนไทยและต่างชาติ”
ด้านคุณสุมาลี บางกระ นักวิชาการอบรมและฝึกวิชาชีพ ชำนาญการพิเศษ ทันฑสถานเกษตรอุตสาหกรรมเขาพริก กล่าวว่า เราเป็นเรือนจำแรกที่ชนะเลิศศูนย์เรียนรู้โคกหนองนาปี 2565 ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และตอนนี้กำลังจะพัฒนาเป็นการท่องเที่ยวเชิงเกษตรโดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ขณะที่การท่องเที่ยวเราต้องปรับตามกระแส เมื่อรู้ว่าการท่องเที่ยวเชิงคอนเทนท์มาแรง จากเดิมที่ขายผลหม่อนแก้วละ 20 บาท ก็ปรับเป็น 60 บาทให้ลูกค้าเอาหม่อนที่เก็บมาได้ไปทำน้ำปั่นในคาเฟ่ ซึ่งถูกใจสายทำคอนเทนท์มาก
“เคยมีนักเรียนจากตำบลหนองน้ำใสมาดูงานที่เรา เอานวัตกรรมไม้กวาดจากขยะพลาสติกไปต่อยอดจนได้รับรางวัล เรามองว่าเป็นสิ่งที่ข้างนอกให้โอกาสเรา แต่คนข้างนอกก็มองว่าเด็กเราให้โอกาสเขาเช่นกันกลายเป็นเครือข่ายขึ้นมา และ สิ่งหนึ่งที่เราพยายามปลูกฝังเด็กในเรือนจำคือ ไม่ต้องรอโอกาสจากสังคม เราต้องให้โอกาสตัวเองก่อน เมื่อนั้นสังคมจะเห็นคุณค่า”คุณสุมาลี กล่าว
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต