
รู้จัก “เอวาฟาร์ม” ฟาร์มเล็กคิดใหญ่ ของ “ยงยุทธ รวยลาภ”
ชีวิตหลังเกษียณ แสนวิเศษที่เขาใหญ่ ลงมือทำเกษตรบนหลักคิดเศรษฐศาสตร์
ความน่าสนใจของเขาใหญ่ไม่ใช่เพียงป่าเขาลำเนาไพรที่สมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณนานา ยังมีเรื่องของ “คน” มากหน้าหลายตาที่เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ กลายเป็นจิ๊กซอร์ประกอบภาพดินแดนแห่งความสุขแห่งนี้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
“คุณเอ-ยงยุทธ รวยลาภ” เจ้าของเอวาฟาร์ม 888 คือ หนึ่งในคนต่างถิ่นที่หลงรักเขาใหญ่ ตัดสินใจซื้อที่ดินกว่า 25 ไร่ ที่ตำบลพญาเย็น อำเภอปากช่อง ช่วงประมาณ พ.ศ.2543 ไว้เป็นที่พำนักหลังเกษียณ
“ผมเป็นคนอยุธยา เกิดบ้านสวน แม่ค้าขาย พอโตมาผมอยากเรียนเกษตร แต่ที่บ้านไม่ให้เรียน เลยเลือกเรียนด้านอิเล็กทรอนิกส์ แล้วไปต่อคอมพิวเตอร์ที่พระนครเหนือ ตอนนั้นยังเป็นเทคนิคอยู่ ก็เรียนเรื่องของฮาร์ดแวร์ เพื่อจะเป็นวิศวกร หรือช่างที่ซ่อมอีกทีหนึ่ง ซึ่งนี่คือสิ่งที่ใหม่มากในยุคนั้น”
เมื่อเรียนจบ มีโอกาสจะเข้าบริษัทยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Siemens หรือ IBM แต่กลับเลือกบริษัทคอมพิวเตอร์เล็กๆ เพราะมีเป้าหมายในใจ คือ ต้องการทำธุรกิจส่วนตัว
เริ่มต้นชีวิตทำงานด้วยการเข้าบริษัทเล็ก เพื่อปูทางเป็นเจ้าของธุรกิจตัวเอง
“ที่คิดว่าต้องเข้าบริษัทเล็ก เพราะอยากเป็นเจ้าของธุรกิจตัวเอง ผมเริ่มมีความคิดนี้ตอนไปฝึกงานกับบริษัทคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในโซนสีลม ตอนนั้นไปอยู่แผนกช่าง ด้วยความที่เราไม่ชอบเรียน แต่ที่บ้านให้เรียน ก็เลยเรียนแบบให้จบๆ ไป พอมาฝึกงานก็ได้อยู่แผนกที่ไม่ค่อยมีอะไรทำ เลยยิ่งทำให้รู้สึกเสียเวลา เพราะตอนนั้นงานซ่อมไม่เยอะ ส่วนมากจะเป็นการเปลี่ยนอะไหล่ แล้วเราเห็นแผนกขายมีงานไม่ขาดมือ ก็เลยไปขอช่วยรับโทรศัพท์ เอาเอกสารไปส่งที่นั่นที่นี่ รู้สึกว่างานขายมันคุ้นเคย เหมือนที่เราทำตอนเด็กๆ”
ดังนั้นพอเริ่มต้นชีวิตทำงาน คุณเอที่มองเป้าหมายว่าจะทำธุรกิจส่วนตัวจึงตัดสินใจเริ่มงานกับบริษัทเล็กๆ ในตำแหน่ง “เซลเอ็นจิเนียร์” ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่ใหม่มากในสมัยนั้น ทำงานอยู่ในระบบประมาณ 5 ปี ก็ตัดสินใจออกมาทำบริษัทของตัวเอง
“ผมทำธุรกิจส่วนตัวค่อนข้างจะเร็วกว่าเพื่อน เริ่มตั้งแต่ปี 2540 ผมเปิดบริษัทเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ขายทุกอย่าง ซึ่งสภาพเศรษฐกิจช่วงนั้นถือว่าสวนกระแส เพราะปี 40 ฟองสบู่แตก แต่ทางด้านไอทีเป็นจังหวะที่ดีมาก แล้วเรามาต่อยอดทางด้านโทรคมนาคม ทางด้านการสื่อสารด้วย แต่เรา (คุณเอและคุณยุ้ย-ภรรยา) ตั้งเป้าเกษียณไว้ที่อายุ 40 ปี เราชอบปฏิบัติธรรมและไม่มีลูก คุณยุ้ยก็คิดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอายุสัก 40 ปี เราก็คิดว่าต้องพอแล้ว”
เส้นทางธุรกิจคอมพิวเตอร์ในขณะนั้น ถือว่าไปได้ดีสวนกระแสเศรษฐกิจ ได้มีโอกาสพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับหน้าที่การงาน จนถึงจุดอิ่มตัวจึงเริ่มมองชีวิตหลังเกษียณ
“ช่วงท้ายๆ ของการทำงานคือการทำเรื่องเซลล์ไซต์ หรือสัญญาณมือถือ ตอนนั้นบริษัทได้ไปเป็นเอาท์ซอสให้กับอาคาเทล โดยได้มีโอกาสไปทำเสาสัญญาณที่ภาคใต้หลายร้อยต้น ถือว่าเป็นงานที่สนุก ตอนนั้นยังเป็นซีพีออเรนจ์ พอเปลี่ยนเป็นทรูก็เริ่มปลีกตัว”
ประทับใจเขาใหญ่ ตัดสินใจซื้อที่ดิน
คุณเอ เล่าว่า เขาใหญ่เป็นที่ที่ผูกพันตั้งแต่เด็ก เพราะเป็นคนอ่านหนังสือเยอะ หนึ่งในนั้นก็คือ “เพชรพระอุมา” ของ “พนมเทียน” ทำให้รู้สึกว่าอยากเป็นนายพราน ฉะนั้นทุกปิดเทอมก็จะมาเขาใหญ่ด้วยวิธีการใดก็ได้ โบกรถมากันกับเพื่อนสนิทสมัยมัธยม จากอยุธยามาเขาใหญ่ มาเป็นกลุ่มประมาณ 4-5 คน เมื่อก่อนมีผ้าใบคลุมรถมาผืนหนึ่งก็ถือว่าเท่แล้ว ยิ่งมีมีดสปาต้าสักเล่มถือว่าเท่สุดๆ ตอนนั้นที่พักก็ยังไม่มีมากมาย แค่ได้มาเที่ยวและอยู่กับธรรมชาติก็สนุกแล้ว
กับภรรยาคู่ชีวิต “คุณยุ้ย-เพชรรัตน์ รวยลาภ” อดีตพยาบาล นักวิชาการกระทรวงสาธารณสุข คบหากันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม โดยคุณเอเรียนที่โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ส่วนคุณยุ้ยเรียนโรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมภ์ ความรักก่อเกิด และมั่นคง ทำงานไปได้ระยะหนึ่งจึงแต่งงาน ทั้งคู่มีเป้าหมายไม่ต่างกันเรื่องเกษียณในวัย 40 มีความสนใจเรื่องการปฏิบัติธรรมเหมือนกัน และโชคชะตาก็นำพาทั้งคู่ให้ได้มาเขาใหญ่ เพราะพี่ชายคุณยุ้ยชวนมาเยี่ยมเพื่อนที่บวชเป็นพระที่นี่
ทันที่ที่มาถึงเขาใหญ่ สัมผัสกับอากาศที่เย็นสบาย ทั้งคู่ก็เกิดความประทับใจทันที
“ซื้อที่ดินตำบลพญาเย็นไว้ตั้งแต่ ค.ศ.2000 เตรียมหนีวายทูเค(หัวเราะ) ซื้อไว้เพื่อจะเกษียณ เดิมตรงนี้เป็นที่โล่ง เป็นไร่ข้าวโพดเก่า” คุณเอเล่า
“ตอนนั้นพี่ชายชวนมาเที่ยว มาหาพระที่อยู่สำนักสงฆ์ใกล้ๆ ซึ่งเป็นเพื่อนพี่ชาย จำได้ว่ามาตอนเดือนเมษายน แต่พอเปิดประตูรถออกมา โอ้โห มันเย็น จากที่อยู่กรุงเทพฯ ร้อนมาก ทีนี้เราก็มาทุกอาทิตย์เลย จนตัดสินใจขอซื้อที่จากชาวบ้าน ตอนนี้มีประมาณ 25 ไร่” คุณยุ้ยเล่าเสริม
จากแผนการนอนให้ฉ่ำหลังเกษียณสู่การทำต้นไม้ขาย
คุณเอ บอกว่า ในสมัยนั้นการเกษียณในวัย 40 เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นยังไง แล้วก็ไม่รู้จะไปถามกับใคร คิดแค่ว่าไม่ต้องทำงานแล้ว
“ความตั้งใจก็คือจะมานอนให้ฉ่ำเลยครับ(หัวเราะ) เพราะตอนทำงานเราแก่แดด กดดันตัวเองสูง เป็นพวกทำงานแบบอายุน้อยร้อยล้านประมาณนั้น สมัยนั้นคนเห็นก็ชอบบอกว่าลูกก็ไม่มี จะทำไปทำไมเยอะแยะ แต่เรามีเป้าหมายครับ คือ เราทำเพื่อจะไม่ต้องทำ เพราะว่ามันไม่ใช่งานที่ทำแล้วเราจะมีความสุขหรอก แต่เราทำได้ เรามีความรับผิดชอบที่จะทำให้มันจบเป็นเรื่องๆ ไป เราเป็นคนประมาณนั้นอยู่แล้ว มันเหมือนกับว่าเรามีเป้าว่าแค่นี้พอแล้ว หลังจากนั้นจะฝืนไปกว่านั้นก็ไม่สนุกแล้ว”
คุณเอ บอกว่า การมาอยู่เขาใหญ่เป็นความสบาย มาแล้วไม่อยากกลับกรุงเทพฯ เมื่อก่อนจะมาช่วงสุดสัปดาห์ ศุกร์เสาร์อาทิตย์ ไปๆ มาๆ ก็ขยับเป็น พฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จากนั้นก็เพิ่ม จันทร์ อังคาร พุธ สุดท้ายไม่กลับกรุงเทพเลย(หัวเราะ)
“นี่คือ 20 ปีที่แล้ว แต่วันนี้เขาใหญ่ก็เปลี่ยนไป เป็นอีกเรื่องที่เราเริ่มตื่นรู้ มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนๆ ในเขาใหญ่ด้วยกัน เราเห็นเรื่องนี้มานานแล้ว เรามาอยู่ที่นี่ด้วยความเย็น เพราะที่นี่คือพญาเย็น เราก็จะสังเกตความเย็นตลอด แต่วันนี้ทุกปีเราจะรู้สึกว่ามันร้อนขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังโชคดีกว่าคนที่อยู่ข้างล่าง”
คุณเอ บอกว่า ในตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะทำเกษตร แต่ด้วยความที่มีบ้านแล้วก็ต้องปลูกต้นไม้ ก็เริ่มซื้อต้นไม้ แต่บางทีซื้อมาแล้วไม่รู้เอาไปวางไว้ที่ไหน กลายเป็นว่าต้นไม้ที่ซื้อมาเป็นไม้หายาก...ที่ว่าหายากเพราะหาไม่เจอ เป็นอย่างนี้บ่อยๆ ภรรยาเลยตัดงบซื้อต้นไม้ ซึ่งนี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่กลายมาเป็นเอวาฟาร์มในปัจจุบัน
จุดกำเนิด “เอวาฟาร์ม”
“เอวาฟาร์มเกิดจากเรื่องของการจัดการปัญหาที่คุณยุ้ยไม่ให้ซื้อต้นไม้ ก็เลยเอาต้นไม้ที่มีอยู่มาขยายพันธุ์ พอเรามีเวลามาใส่ใจ ต้นไม้ก็เริ่มไม่หายากแล้ว(ยิ้ม) เพราะอยู่ในสายตาเราหมด เราเริ่มจัดระเบียบ เอาไปขยายพันธุ์ เอาไปฝากร้านต้นไม้ขาย ก็ไม่ได้คิดว่าจะเอาเงิน คิดว่าจะเอาไปแลกต้นไม้ ในเมื่อภรรยาไม่ให้เราซื้อ ก็เอาไปฝากขายกับร้านในราคาที่ถูกว่าร้านทั่วไปครึ่งหนึ่ง พอได้เงินมาก็เอาไปช้อปต้นไม้ใหม่ แล้วกลายเป็นว่าต้นไม้ขายดี เมื่อเทียบกับไม้ผลที่ปลูกไว้อย่างกาแฟ ถั่วแมคคาเดเมียกลับไม่ทำเงินให้เลย แถมการเก็บเกี่ยวก็ไม่คุ้มค่ากับเวลา แต่กลายเป็นว่าต้นไม้ที่เรารักที่เราขยายไว้กลับขายได้”
เมื่อได้ต้นไม้พันธุ์ใหม่เพิ่ม คนทำก็ชักมันมือ เพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ไปเรื่อย ขายไปเรื่อย กระทั่งหมดพันธุ์ต้นไม้ที่จะแลกแล้ว ร้านต้นไม้จึงให้ค่าขายต้นไม้กับคุณเอเป็นเงินก้อน 50,000 บาท
เป็นเงินก้อนที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเอวาฟาร์ม
หากมองเข้าไปอย่างนักสำรวจ จะเห็นว่าการทำเอวาฟาร์มของคนหนุ่มหลังเกษียณนั้น ถือเป็นกิจกรรมที่มีความสุขไม่น้อย แถมยังหาเงินได้อีก ซ้ำยังเป็นการช่วยให้คนรักต้นไม้ได้เข้าถึงต้นไม้แพงๆ ได้ง่ายขึ้น
จากการเอาใจใส่ก็เกิดเป็นความชำนาญ เอวาฟาร์ม สามารถเพาะพันธุ์ ขยายพันธุ์ต้นไม้มูลค่าสูงในขณะนั้นออกมาหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นซิลเวอร์โอ๊ค โกลเด้นโอ๊ค ทีทรีออยล์ สนดินสอ แดงออสเตรเลีย หรือองุ่นทะเลทราย เป็นต้น ที่สำคัญได้เพาะพันธุ์และคัดสายพันธุ์ “ซิลเวอร์โอ๊ค” และ “โกลเด้นโอ๊ค” จนได้คุณสมบัติที่สมบูรณ์ที่สุด นำไปขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร ชื่อ “ซิลเวอร์โอ๊ค เอวาวัน” และ “โกลเด้นโอ๊ค เอวาวัน”
ซิลเวอร์โอ๊ค เอวาวัน ต้นไม้คุณสมบัติสูงดูดซับคาร์บอน 42 ตัน/ไร่
คุณเอ อธิบายว่า ต้นไม้ที่มาจากถิ่นกำเนิด เมื่อนำมาปลูกอาจจะมีการกลายพันธุ์ ทั้งกลายดีและไม่ดี เราก็เลือกสายพันธุ์ที่มีจุดเด่นที่มีประโยชน์และชัดเจน นำไปขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร เพราะเรื่องต้นไม้ถ้าลงรายละเอียดเราจะพบว่าต้นไม้ชื่อเหมือนกัน แต่ดูดีๆ คุณลักษณะจะแตกต่าง อย่าง “ยางนา” ต้นไม้ไทยเราพบได้ทั้งอีสาน เหนือ ใต้ แต่มันไม่เหมือนกัน ถ้าคนปลูกไม่เข้าใจ และชื่อไม่ชัดเจนก็จะกลายเป็นว่าปลูกผิดสเป็คที่เราต้องการ หลายคนไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้
“ตอนนี้เรามีซิลเวอร์โอ๊ค เอวาวัน ตระกูลเขาเป็นไม้จากออสเตรเลีย เรานำเข้ามาปลูกคัดสายพันธุ์ เราคัดให้สวย ทนทาน แข็งแรง และ ยังคงคุณสมบัติโครงสร้างดีๆของเขาไว้ แต่เรามาคัดให้มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนขึ้น
แล้วก็ขึ้นทะเบียนกลายเป็นเด็กไทยไปแล้ว ฉะนั้นถ้าเราสามารถกำหนดสายพันธุ์มีชื่อชัดเจน คุณสมบัติชัดเจน แล้วให้หน่วยงานที่เชื่อถือได้กำหนด ก็เหมือนว่าเรามีชื่อ มีบัตรประชาชนรับรอง”
จุดเด่น “ซิลเวอร์โอ๊ค เอวาวัน” ที่ได้คัดสายพันธุ์มา อันดับแรก คือ สามารถดูดซับคาร์บอนได้ดี โดยเอวาฟาร์มได้ร่วมมือกับนักวิชาการเพื่อทำงานศึกษาวิจัย ผลปรากฏว่าซิลเวอร์โอ๊ค เอวาวัน สามารถดูดซับคาร์บอนได้ถึง 42 ตัน/ไร่ (ปลูกไร่ละ 100 ต้น) ถือว่าสามารถเคลมคาร์บอนเครดิตได้สูงมากเมื่อเทียบกับต้นไม้ชนิดอื่นๆ
“เมื่อมีงานวิจัยสากล มีมาตรฐานทั้งไทยและต่างประเทศรับรอง ประชาชนคนไทยจะได้ประโยชน์ตรงที่ว่าเราสามารถเอาต้นไม้ชนิดนี้ไปขึ้นทะเบียนเพื่อจะเคลมคาร์บอนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ได้ นี่คือในไทย ถ้าต้องการขายคาร์บอนในต่างประเทศ ก็จะมีมาตรฐาน VERRA Standards เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ในการรับรองโครงการและกิจกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมความยั่งยืน เราก็ไปขึ้นได้”
เป็นซิลเวอร์โอ๊ค เอวาวัน อีกเช่นกันที่เมื่อลงลึกในรายละเอียดแล้ว จะพบว่าส่วนของรากก็เป็นมิตรต่อจุลินทรีย์ขนาดเล็ก ปรับปรุงดินได้ ระบบรากแทงลง 45 องศา ไม่ได้วิ่งผิวดิน ดังนั้นจะเป็นไม้ที่เป็นมิตรกับเมือง ตอบโจทย์ต้นไม้ในเมืองที่มีฟุตบาต ที่สำคัญเป็นต้นไม้ที่สวยและทันสมัย
“จะเห็นว่าทุกวันนี้ ต้นไม้ที่ไปปลูกในเมือง เรื่องรากเป็นปัญหาใหญ่ เพราะมันจะรบกวนฟุตบาท แต่ซิลเวอร์โอ๊ค เอวาวัน จะเป็นมิตรต่ออาคาร ถนน สามารถปลูกในเมืองได้ เพราะปัญหาน้อย ที่สำคัญช่วยฟื้นฟูหน้าดิน ป้องกันการพังทลายดิน
และเพียง 10 ปี ซิลเวอร์โอ๊คก็ใหญ่พอที่จะสามารถตัดไปทำเฟอร์นิเจอร์ได้แล้ว อายุ 10 ปี หน้าไม้จะมีขนาดประมาณ 20 นิ้ว เนื้อไม้จะเป็นไม้กึ่งแข็งกึ่งอ่อน มีลายไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ สามารถนำไปแปรรูปทำผลิตภัณฑ์ไม้ต่างๆ ได้
“ตรงนี้เราจะขายคำว่า “คาร์บอน แคปเจอร์” เพราะคุณสมบัติของไม้สามารถอยู่ได้เป็นร้อยปี มันจึงเป็นการเก็บคาร์บอนไว้เป็นร้อยปี ซึ่งอีกไม่นานจะมีภาษีคาร์บอน เราก็เตรียมไว้สำหรับเรื่องนี้ เป็นการทำเรื่องเล็กแต่ต้องมองภาพใหญ่ เพื่อทำให้เรื่องเล็กของเรามีคุณค่า”
ขณะที่พันธุ์ไม้อื่นๆ อาทิ โกลเด้นโอ้ค เอวาวัน เป็นไม้ใบสีทอง เป็นคนละสปีชีส์กับซิลเวอร์โอ๊ค ที่เอวาฟาร์มเพิ่งทำขึ้นมาช่วง 4-5 ปีนี้ เป็นไม้จากออสเตรเลียเหมือนกัน โดยคัดสายพันธุ์และขึ้นทะเบียน มองว่าเอามาจับคู่กับซิลเวอร์โอ๊ค เพื่อเป็นคอนเซปต์ต้นไม้เงินต้นไม้ทอง
นอกจากนั้นยังมี “ทีทรีออยล์” ที่จะเอาน้ำมันไปสกัดทำเวชสำอาง ต้นสนดินสอหรืออิตาเลียนไซเปรส ซึ่งเป็นสนราคาสูงที่ตลาดต้องการ และยังมีแดงออสเตรเลีย ที่เป็นไม้ดอก ออกดอกสีแดงทั้งต้น ที่สำคัญดอกทนอยู่ 2 เดือน เป็นไม้เขตร้อน ไม่จำเป็นต้องเย็น
“อย่างแดงออสเตรเลีย มองว่ามันตอบโจทย์งานอีเว้นท์ ถ้าถนนสักเส้นหนึ่งของเขาใหญ่จะมีอีเวนท์ 2 เดือน แดงออสเตรเลียจะตอบโจทย์ทันที”
สร้างป่าพรีเมียม ตอบโจทย์ทั้งมิติสิ่งแวดล้อม-มิติเศรษฐกิจ
คุณเอ บอกว่า เรื่องที่น่าตื่นเต้น คือ เราค้นพบว่าถ้าสร้างระบบนิเวศให้เหมาะสม พันธุ์ไม้ที่จะสูญพันธุ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพืชเศรษฐกิจก็ฟื้นคืนกลับมาด้วย
“ด้วยความซนทำให้เราศึกษาหลายเรื่อง โดย 20 ปีที่ผ่านมาเราพยายามทำระบบนิเวศในเอวาฟาร์มเพื่อให้เกิดความยั่งยืน เราจะไม่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ไม่ปลูกไม้ประดับอย่างเดียว แต่เราเริ่มจากไม้ประดับแล้วพัฒนามาเป็นเรื่องป่า ฉะนั้นเอวาฟาร์มจะมีป่าในพื้นที่ 25 ไร่ เป็นป่าที่ตอบโจทย์ทั้งมิติสิ่งแวดล้อม และผลตอบแทนในมิติด้านเศรษฐกิจ พอเจอเรื่องพวกนี้เราตื่นเต้นมาก”
คุณเอ ยกตัวอย่างให้ฟังว่า หากทำเป็นธุรกิจ 100% ก็ต้องปลูกให้เยอะ แล้วใช้วิธีล้อมขาย เป็นการเทิร์นโอเวอร์ได้เร็ว เรื่องนี้เอวาฟาร์มทดลองมาแล้ว เรามีวิธีคิดเรื่องปลูกต้นไม้สร้างบ้าน ไม่ใช่ว่าปลูกเพื่อเอาไม้มาสร้างบ้านนะ เพราะแบบนั้นใช้เวลานานมาก ก่อนจะได้อยู่เราอาจจะจากไปเสียก่อน เราจึงมีไอเดียเอาไม้ประดับปลูกลงดิน แล้วขายเป็นไม้ขุดล้อม ซึ่งภายใน 5 ปี เราก็ขายไม้ได้ มีเงินเพียงพอต่อการสร้างบ้าน 1 หลังแล้ว
“เราลองคำนวณให้ดูเลยจากตัวเลขจริง ซิลเวอร์โอ๊ค เอวาวัน เฉลี่ยต้นละ 3,000-10,000 บาท นี่คือราคาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เป็นราคาที่ยังแรงอยู่ สมมติว่าต้นละ 5,000 บาท ปลูก 100 ต้น ก็ขายได้ 500,000 บาท ทีนี้ถ้าเรามีที่ดินเยอะ ปลูกซัก 4,000 ต้น ขายไปซักครึ่งหนึ่ง ก็มีเงินปลูกบ้านได้มากกว่าหนึ่งหลังแล้ว นี่คือปลูกไม้สร้างบ้าน”
คุณเอ บอกว่า ที่เอวาฟาร์มทำมาหลายเรื่องแล้วจึงตกผลึก มันเป็นเรื่องโนฮาวที่ต้องผสมผสาน เราพบว่าปัญหาการเกษตรไม่ใช่เรื่องการผลิต ไม่ใช่การตลาด แต่ต้องวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ตั้งแต่ก่อนทำ แล้วจะไม่มีปัญหาเลย
ระบบนิเวศที่เหมาะสม ฟื้นคืนไม้ใกล้สูญพันธุ์ “พญาราชปราบ”
คุณเอ เล่าว่า เมื่อมีระบบนิเวศเหมาะสม จึงสามารถเก็บรักษาสมุนไพรชนิดหนึ่งที่กำลังจะสูญพันธุ์ไว้ได้ เป็นสมุนไพรมีฤทธิ์ในการล้างพิษแบบเฉียบพลัน ชื่อ “พญาราชปราบ” เป็นชื่อที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรไว้แล้ว เป็นพืชที่เจอที่เขาใหญ่ มีฤทธิ์ขับพิษจากตับแบบเฉียบพลัน
“เฉียบพลันขนาดไหนคิดดูว่าคุณกินเหล้าทั้งคืนไม่เมา หรืออยู่ในงานที่ต้องสัมผัสกับทาสี กลิ่น โลหะหนัก แต่ทั้งนี้ยังอยู่ในขั้นตอนที่วิจัย”
“พญาราชปราบ” เป็นสมุนไพรที่กำลังจะสูญพันธุ์ อยู่ในตำรับแพทย์แผนไทยแต่หายาก เดิมคือ “รางจืดป่า” แต่เนื่องจากขึ้นทะเบียนชื่อนี้ไม่ได้ เพราะรางจืดเถาจดไปก่อนแล้ว จึงต้องขึ้นทะเบียนในชื่อใหม่
คุณเอ เล่าว่า พญาราชปราบเกิดจากความคิดเรื่องป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ข้างล่างป่าก็คือร่มเงา เลยมาคิดว่าแล้วอะไรที่จะเกิดรายได้จากการมีร่มเงาของป่า และต้องมีมูลค่าสูง เพราะถ้าไม่สูงก็จะไม่ทำ เพราะมันไม่ท้าทาย เราวิเคราะห์แล้วว่าต้องเป็นสมุนไพรที่หายาก จึงไปปรึกษาอาจารย์ที่มูลนิธิในโครงการพระราชดำริสวนป่าสมุนไพร ได้คำตอบว่าพญาราชปราบนั้นเป็นของมีมูลค่าสูงแต่ทำยาก เราก็คิดในใจว่าถ้าง่ายก็ไม่น่าทำ เพราะคนอื่นคงทำแล้ว ก็ตกลงว่าจะพัฒนาตัวนี้
“ผมมองไปที่ตลาดโลก เรื่องสารสกัด ถ้าไปอยู่ในอาหาร เครื่องดื่มที่ล้างพิษได้เท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว หรือในไทยจับมือกับเครื่องดื่มชูกำลังแทนที่จะได้แค่น้ำตาล ก็เอาตัวนี้ใส่เข้าไปล้างพิษด้วย”
สิ่งแวดล้อมดีส่งผลให้จิตใจเบิกบาน
เมื่อสิ่งแวดล้อมดี ระบบนิเวศดี ก็จะส่งผลให้เจ้าของพื้นที่มีความสุขในเรื่องของอารมณ์ ร่างกายที่เจ็บป่วยก็ฟื้นฟูตามมา
คุณเอ กล่าวว่า เมื่อมาอยู่เขาใหญ่ เห็นชัดเจนเรื่องของสุขภาพที่ดีขึ้น มีกรณีตัวอย่าง 2 เคส คือ คุณแม่ของตนเอง มาอยู่ที่นี่ช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 จากเดิมจะต้องแอดมิดเข้าโรงพยาบาลเดือนละ 3 วัน ถึงหนึ่งอาทิตย์ ลูกๆ ต้องสลับกันไปเฝ้า แต่พอมาอยู่เขาใหญ่ ก็สดชื่นขึ้น ความจำก็เริ่มดีขึ้น ซึ่งตอนแรกคิดแค่ว่าเพราะอากาศ แต่ที่จริงมันคือสิ่งแวดล้อม ที่มันสมรมกัน ซึ่งปัจจุบันคุณแม่อยู่ที่เขาใหญ่ 7 ปีแล้ว โดยที่ไม่ต้องไปพบแพทย์เลย
อีกเคสหนึ่ง พี่สาวที่ต้องเออร์รี่ออกมาอยู่ดูแลแม่ เดิมทีพี่สาวเป็นภูมิแพ้ ทุก 3 เดือนต้องไปรับยาที่ รพ.ภูมิพล พอมาอยู่ที่นี่ เมื่อถึงวันนัดรับยา หมอยังถามว่าไปทำอะไรมา ผลเลือดดีขึ้น หมอก็สั่งลดยา
“ผมไปคุยกับบางคน เขาก็บอกว่าคุณอยู่เขาใหญ่ก็ต้องเชียร์เขาใหญ่ มันไม่ใช่นะ แล้วไม่ใช่เราคนเดียว ลูกค้าที่มาซื้อต้นไม้ผมหลายคนเป็นสโตรก แล้วหมอให้มาอยู่เขาใหญ่ เขากลับมาเดินเองได้หลายคน เราก็เลยมองไปว่าเขาใหญ่ไม่ใช่เรื่องท่องเที่ยวอย่างเดียวแล้ว ลองนึกถึงว่าถ้าเราปลูกรวมกลุ่ม หรือมีแปลงใหญ่ปลูกเป็นร้อยไร่ ย่อมมีเรื่อง Wellness ที่จะตามมา นักท่องเที่ยวจะได้รับออกซิเจนจากป่าซิลเวอร์โอ๊ค ทั้งได้ทั้งท่องเที่ยว และได้สุขภาพที่ดีด้วย”
เปลี่ยนพื้นที่รกร้างเป็นสวนป่าสวย
คุณเอ บอกว่า ป่าของเอวาฟาร์มเป็นเรื่องของความลงตัวในพื้นที่ มีไม้ทรงสูง เป็นไม้ที่ดูดซับคาร์บอน สร้างออกซิเจน มีไม้ประดับ สมุนไพร ผลไม้ พืชผล ที่นอกจากป่าของเอวาฟาร์มแล้ว ตอนนี้เรามีพื้นที่ของพันธมิตรที่ดูแลอยู่หลายร้อยไร่ เป็นพื้นที่ที่ไม่มีคนดูแล เราก็รับจัดการตรงนี้ด้วย กลายเป็นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนที่ดี เพราะเราไปบริหารพื้นที่รกร้างว่างเปล่าที่ต้องเสียภาษี เราก็สามารถเข้าไปทำให้พื้นที่สวยงามได้
“เขาใหญ่ไม่ควรปล่อยให้มีพื้นที่รกร้าง หากเรามีการจัดการให้เป็นสวนป่า ทำระบบนิเวศให้ดี พื้นที่คุณจะสวยงาม มูลค่าที่ดินก็จะสูงขึ้น สังคมรอบตัวก็ดูสวยงามปลอดภัย มีการพัฒนาที่ดินไม่เป็นที่รกร้างว่างเปล่า เป็นเรื่องความลงตัวในพื้นที่ เราอยากจะแชร์แบ่งปัน ถ้าใครสนใจมาปรึกษาพูดคุยกันได้”
นอกจากธุรกิจต้นไม้ คุณเอยังได้แบ่งโควต้าต้นกล้าออกมา 10% หรือ ประมาณ 30,000 ต้น เพื่อทำเป็นงานเชิงซีเอสอาร์ นำต้นไม้ของเอวาฟาร์มไปปลูกในที่สาธารณะ มองว่าจะให้กับศาสนสถาน ไม่จำกัดศาสนา แต่เงื่อนไขคือต้องมีเจ้าภาพดูแล ไม่ปล่อยทิ้งขว้าง
ยังมีอีกหลายเรื่องที่เอวาฟาร์มยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาต่อยอด พร้อมกับโนฮาวดีๆ มากมายไว้ให้เรียนรู้ สำหรับคนรักต้นไม้ ไม่ต้องลังเล ขับรถตรงไปที่ฟาร์มได้ทุกเมื่อ เชื่อว่าใครที่หลงเข้าไปแล้ว รับรองว่าจะได้รับแรงบันดาลใจก้อนใหญ่ๆ ในการสร้างพื้นที่สีเขียวกลับไปอย่างแน่นอน
© 2025 Khaoyai Connect. สงวนลิขสิทธิ์
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต